อาการชาที่ใบหน้าสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ การอักเสบของเส้นประสาท

เท้าชาบอกโรค สีชมพู ชาหลังเท้าลากยาวไปถึงหน้าแข้ง แต่ไม่มีอาการชาที่มือ อาจเกิดจากการนั่งไขว้ห้าง ขัดสมาธิ พับเพียบ เป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้เส้นประสาทบริเวณใต้เข่าด้านนอกถูกกดทับจนเลือดเดินติดขัดได้ สีส้ม ชาทั้งเท้า และเลยไปถึงสะโพก อาการนี้ก็ควรต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจเกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท

อาการชาที่มือ แขน และเท้าอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสัญญาณอันตราย พบได้มากในคนวัยทำงานออฟฟิศซึ่งอาจเป็นที่มาของโรคที่เกี่ยวกับปลายประสาทอักเสบหรือเส้นประสาท

อาการชา ชาเฉพาะนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางครึ่งซีก (ซีกที่อยู่ติดกับนิ้วกลาง) นอกนั้นไม่มีอาการชา อาจเป็นสัญญาณของโรคเส้นประสาทมือถูกบีบรัด เนื่องจากเยื่อหุ้มเอ็นที่อยู่ในช่องใต้กระดูกมือบวม หรือกระดูกมือโตทำให้ช่องใต้กระดูกมือแคบ เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หรืออาจเกิดจากแผ่นพังผืดเสื่อม และหนาตัวขึ้น

ชามือ-ชาเท้า เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่หากเป็นบ่อย ๆ และทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจเป็นเพราะความผิดปกติของปลายประสาท ที่อาจนำไปสู่โรคอัมพฤกษ์-อัมพาตได้ เราสามารถรู้ทันอาการชา ได้ด้วยการตรวจเส้นประสาทและกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า (Electrodiagnosis) ซึ่งประกอบด้วย

“โรคหลอดเลือดสมองตีบ” หลายคนอาจคิดว่าเป็นโรคไกลตัว เพราะส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้สูงอายุ แต่ด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ประกอบกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต

อาการปวดศีรษะ เป็นโรคยอดฮิตของทุกเพศทุกวัย โดยอาการปวดศีรษะส่วนใหญ่ที่พบได้บ่อยมักเป็นชนิดไม่รุนแรง สามารถรักษาได้ด้วยการดูแลตนเอง หรือรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการ แต่ในบางกรณี อาจเกิดจากเนื้องอกในสมอง หรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ

แม้ว่าการนอนหลับ คือการพักผ่อนที่ดีที่สุดของสมองและร่างกาย แต่ทราบหรือไม่ว่า การนอนหลับที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างแท้จริง

โรคหลอดเลือดสมองคาโรติดตีบตัน มักเกิดจากหลอดเลือดแดงแข็ง หรือมีคราบไขมันเกาะตามผนังหลอดเลือดซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ หรือ โรคอัมพฤกษ์