ผ่าตัดเปลี่ยนไต ความหวังของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย

วิดีโอสุขภาพ

จากรายงานประจำปี 2567 ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย พบว่า ในปี 2567 มีผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายรอการปลูกถ่ายไต 6,947 คน หรือ 1,976 วัน เท่ากับ 5 ปี 5 เดือน (นับจากวันแรกที่ได้รับการบำบัดทดแทนไต) ซึ่งโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายคือ ภาวะที่ไตทำงานน้อยกว่า 15% จะมีอาการปัสสาวะออกน้อยลง บวมตามตัว โดยเฉพาะขาทั้งสองข้าง ความดันโลหิตสูง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หน้าซีด ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน

แนวทางการรักษาโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย

  1. ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม    
  2. ล้างไตทางช่องท้อง 
  3. ปลูกถ่ายไต  

โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล มีอายุรแพทย์โรคไตและทีมศัลยแพทย์ปลูกถ่ายไตที่พร้อมให้การรักษาที่ดีที่สุดแก่ผู้ป่วยทุกราย วางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม หากต้องฟอกไตก็จะแนะนำการฟอกไตอย่างมีมาตรฐาน ส่วนผู้ป่วยที่เหมาะสมกับการปลูกถ่ายไต ก็จะมีการแนะนำขั้นตอน เตรียมความพร้อมการผ่าตัดด้วยทีมสหวิชาชีพ หลังผ่าตัดก็จะได้รับการดูแลเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ และการติดตามผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายไตระยะยาวโดยแพทย์ชำนาญการเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด

การผ่าตัดเปลี่ยนไต หรือปลูกถ่ายไตคืออะไร

วิธีการรักษาโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ดีที่สุดคือ การปลูกถ่ายไต เพราะสามารถทำให้ไตกลับมาทำงานได้ปกติใกล้เคียงกับไตเดิม ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและไม่ต้องกลับมาฟอกไตอีกตลอดชีวิต 

การผ่าตัดปลูกถ่ายไต คือการผ่าตัดนำไตที่แข็งแรงและเข้ากันได้จากผู้บริจาค มาปลูกถ่ายไว้ในร่างกายของผู้ป่วย เพื่อทำหน้าที่ทดแทนไตเดิมที่เสื่อมสภาพไปแล้วทั้งหมด การผ่าตัดจะวางไตใหม่ไว้ในบริเวณอุ้งเชิงกรานของผู้ป่วย แล้วจึงต่อหลอดเลือดและท่อไตเข้ากับร่างกายของผู้ป่วย

ข้อดีของการผ่าตัดเปลี่ยนไต

หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจำนวนมากสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงกับคนปกติ ไม่จำเป็นต้องฟอกไตอีกต่อไป เมื่อร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สุขภาพกายและสุขภาพจิตก็พลอยดีขึ้นตามไปด้วย ความเจ็บปวด ความเหนื่อยล้า และข้อจำกัดในการใช้ชีวิตลดน้อยลง ทำให้สามารถกลับมาทำงาน ทำกิจกรรมที่รัก และใช้เวลาอยู่กับครอบครัวได้อย่างเต็มที่

ใครสามารถเป็นผู้รับการปลูกถ่ายไตได้

ผู้ป่วยที่จะเข้ารับการปลูกถ่ายไตได้นั้น ต้องผ่านการประเมินจากทีมแพทย์อย่างละเอียด โดยมีเกณฑ์เบื้องต้นดังนี้

  • เป็นผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (การทำงานของไตน้อยกว่า 15%)
  • ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรงที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัดใหญ่
  • ไม่เป็นโรคมะเร็งที่ยังอยู่ระหว่างการรักษา (หากเคยเป็นต้องรักษาจนหายขาดแล้ว)
  • ไม่มีการติดเชื้อที่รุนแรงและยังควบคุมไม่ได้ในร่างกาย
  • มีสภาพจิตใจที่ปกติและพร้อมให้ความร่วมมือในการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด
  • ไม่มีภาวะติดสุราหรือสารเสพติด

ไตที่นำมาปลูกถ่ายได้มาจากไหนบ้าง

ไตที่ใช้ในการปลูกถ่ายมาจากผู้บริจาค 2 แหล่ง ได้แก่

  • ไตจากผู้บริจาคที่มีชีวิต (Living Donor) ตามกฎหมายแพทยสภา ผู้บริจาคจะต้องเป็นญาติทางสายเลือด หรือเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และ/หรือมีบุตรด้วยกัน จึงจะสามารถทำเรื่องขอบริจาคได้
  • ไตจากผู้บริจาคสมองตาย (Deceased Donor) เป็นไตที่ได้รับจากผู้ป่วยที่มีภาวะสมองตาย ซึ่งทางการแพทย์ถือว่าเป็นผู้เสียชีวิตแล้ว แต่ไตยังคงทำงานได้ดีอยู่ โดยต้องได้รับความยินยอมจากญาติหรือเป็นไปตามความประสงค์ที่ผู้บริจาคได้แสดงเจตนาไว้ผ่านศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย

อัตราการประสบความสำเร็จของการผ่าตัดเปลี่ยนไต

ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้การผ่าตัดเปลี่ยนไตมีอัตราความสำเร็จที่สูงมาก คือเกินร้อยละ 95 ในปีแรก ถ้าได้รับการติดตามโดยแพทย์และกินยากดภูมิอย่างสม่ำเสมอสามารถทำงานได้ดีต่อไปอีกหลายปีโดยไม่มีระยะเวลาจำกัด

วิธีการปลูกถ่ายไต

กระบวนการปลูกถ่ายไตมีการวางแผนอย่างละเอียด ตั้งแต่การเตรียมตัวไปจนถึงการผ่าตัด

  1. ผู้ป่วยต้องงดน้ำและอาหารทุกชนิดหลังเที่ยงคืน ก่อนวันผ่าตัด กรณีผ่าตัดตามแผน (จากผู้บริจาคที่มีชีวิต)  ส่วนกรณีผ่าตัดฉุกเฉิน (จากผู้เสียชีวิต) ต้องงดน้ำและอาหารทันทีที่ได้รับการติดต่อ โดยต้องงดเป็นเวลาอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด
  2. ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการเตรียมความพร้อมในโรงพยาบาลประมาณ 12 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด เพื่อตรวจประเมินร่างกายครั้งสุดท้าย เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
  3. ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้รับการฟอกเลือดภายใน 24 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด เพื่อกำจัดของเสียและของเหลวต่าง ๆ ในเลือดที่มีมากเกินไปออก
  4. ผู้ป่วยต้องมีระดับของเสีย เกลือแร่ โดยเฉพาะโพแทสเซียม และปริมาณน้ำในร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติและปลอดภัยสำหรับการผ่าตัด
  5. กรณีได้รับไตจากผู้บริจาคที่มีชีวิต ผู้ป่วยต้องหยุดยาล่วงหน้าตามคำสั่งแพทย์ ส่วนกรณีไตที่ได้จากผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นการผ่าตัดฉุกเฉิน ต้องหยุดยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดทันที โดยทีมแพทย์จะเตรียมพลาสมา (Fresh Frozen Plasma) และเกล็ดเลือดไว้ให้ เพื่อป้องกันภาวะเลือดออกผิดปกติ
  6. เมื่อเข้าห้องผ่าตัด จะมีการใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ เพื่อช่วยให้ปัสสาวะจากไตใหม่ไหลออกมาได้สะดวก และป้องกันการอุดตันจากลิ่มเลือดที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดต่อท่อไต
  7. แพทย์จะให้ยาที่จำเป็นก่อนผ่าตัด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยากดภูมิคุ้มกัน และยาขับปัสสาวะ
  8. การผ่าตัดจะทำภายใต้การดมยาสลบ โดยแพทย์จะเปิดแผลบริเวณท้องน้อย และนำไตใหม่ที่ได้รับบริจาคมาวางในอุ้งเชิงกราน ทำการต่อหลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ และท่อไตของไตใหม่เข้ากับระบบร่างกายของผู้ป่วย เมื่อเรียบร้อยจึงทำการปิดแผล ใช้เวลาผ่าตัด ประมาณ 3-4 ชั่วโมง

ปลูกถ่ายไตแล้ว อยู่ได้นานแค่ไหน

ไม่สามารถระบุเป็นตัวเลขที่แน่ชัดได้ว่าไตที่ปลูกถ่ายจะอยู่ได้นานกี่ปี เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งชนิดของไตที่ได้รับ ความเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และที่สำคัญที่สุดคือการดูแลตัวเองและการรับประทานยากดภูมิคุ้มกันอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม จากรายงานข้อมูลการปลูกถ่ายอวัยวะปี 2566 โดยสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย พบว่า 

  • ในช่วง 1 ปีแรก อัตราการอยู่รอดของไตที่ปลูกถ่ายกว่าร้อยละ 95 ไม่ว่าจะได้รับไตจากผู้บริจาคที่มีชีวิตหรือผู้บริจาคสมองตาย
  • ในระยะยาว 10 ปี อัตราการอยู่รอดของไตที่ปลูกถ่ายจะแตกต่างกันตามที่มาของไต คือ
    • ผู้ที่ได้รับไตจาก ผู้บริจาคที่มีชีวิต มีอัตราการอยู่รอดของไตอยู่ที่สูงถึง ร้อยละ 90.9
    • ผู้ที่ได้รับไตจาก ผู้บริจาคสมองตาย มีอัตราการอยู่รอดของไตอยู่ที่อยู่ที่ ร้อยละ 80.6

ภาวะแทรกซ้อนหลังปลูกถ่ายไต

  • ภาวะเลือดออกบริเวณแผลผ่าตัด
  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะความดันโลหิตต่ำ หรือการไหลเวียนเลือดไม่คงที่
  • ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องอืด หรือท้องผูกในช่วงแรก
  • การสลัดไตหรือการปฏิเสธไตใหม่ (Acute Rejection) ร่างกายอาจมีปฏิกิริยาต่อต้านอวัยวะใหม่ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่สามารถควบคุมและป้องกันได้ด้วยการรับประทานยากดภูมิคุ้มกันอย่างสม่ำเสมอ
  • ความเสี่ยงในการติดเชื้อสูงขึ้น เนื่องจากยากดภูมิคุ้มกันทำให้ร่างกายอ่อนแอลง จึงอาจติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ เช่น ปอดอักเสบ หรือติดเชื้อฉวยโอกาสจากเชื้อไวรัส เช่น ไซโตเมกะโลไวรัส ไวรัสเฮอร์พีส์ เชื้อรา หรือวัณโรค

การดูแลตัวเองหลังเปลี่ยนไต

หลังการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องฟอกไตอีกต่อไป แต่ยังคงต้องพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอและใส่ใจดูแลสุขภาพอย่างเข้มงวด เนื่องจากจำเป็นต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต เพื่อป้องกันการต่อต้านอวัยวะใหม่ ซึ่งยานี้อาจทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายลดลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย

ด้วยเหตุนี้ หลังการผ่าตัดเปลี่ยนไต ผู้ป่วยจึงต้องดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชนที่แออัด เสี่ยงต่อโรค หรืออยู่ในที่ที่สิ่งแวดล้อมไม่สะอาด ควรล้างมือบ่อย ๆ รับประทานอาหารที่สุก สะอาด และมีประโยชน์ งดอาหารที่มีไขมันสูงและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ไม่แนะนำให้คลุกคลีกับสัตว์ แต่หากว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้รักษาความสะอาดภายในบ้านอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด 

การผ่าตัดเปลี่ยนไต เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และมีความซับซ้อนสูง ต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญ รวมถึงมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย หากผู้ป่วยต้องการเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไต สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ศูนย์ปลูกถ่ายไต โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

ศูนย์ไตเทียม โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล

โทร. 02-734-0000 

Medically Reviewed by

พญ. อำไพวรรณ รุ่งบรรณพันธุ์
พญ. อำไพวรรณ รุ่งบรรณพันธุ์

อายุรศาสตร์

อายุรศาสตร์โรคไต

Readers’ Rating

0.0 out of 5 stars (based on 0 reviews)