ทำไมคนเกิดก่อนปี 2535 ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus: HBV) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับ หากปล่อยให้ติดเชื้อเรื้อรัง

ไวรัสตับอักเสบ (Viral Hepatitis) คือการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เซลล์ตับอักเสบและถูกทำลาย มีทั้งติดเชื้อฉับพลันและเรื้อรัง หากไม่รักษาอาจนำไปสู่ ภาวะตับวาย ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ได้ ซึ่งโรคนี้มักมีอาการไม่ชัดเจน หรือมีอาการน้อยทำให้หลายคนไม่รู้ตัว จึงควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
ชนิดของไวรัสตับอักเสบแบ่งเป็น 5 ชนิด ได้แก่ A, B, C, D และ E ซึ่งแต่ละชนิดมีวิธีการติดต่อ ความรุนแรง และแนวทางป้องกันที่แตกต่างกันดังนี้
การติดต่อ : อาหารและน้ำปนเปื้อน, สัมผัสอุจจาระของผู้ป่วย
ความรุนแรง : ไม่เรื้อรัง ส่วนใหญ่หายได้เอง
อาการระวัง : ไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ตัวเหลือง ตาเหลือง
การป้องกัน
การติดต่อ
ความรุนแรง : ติดเชื้อฉับพลันจนตับอักเสบรุนแรง และอาจเรื้อรัง เสี่ยงตับแข็ง มะเร็งตับ
การป้องกัน : วัคซีนป้องกันไวรัสบี ฉีดให้ทารกแรกเกิดทุกราย ช่วยลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การติดต่อ : เลือดเป็นหลัก เช่น เข็มร่วม ใช้อุปกรณ์สัก เจาะที่ไม่ปลอดภัย
ความรุนแรง : พัฒนาเป็นเรื้อรังได้สูง เสี่ยงตับแข็งและมะเร็งตับ
การรักษา : ปัจจุบันมียารักษารูปแบบรับประทานที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถหายขาดได้
การป้องกัน : ยังไม่มีวัคซีน ต้องเลี่ยงความเสี่ยงโดยตรง
การติดต่อ : ผ่านเลือด และเกิดร่วมกับไวรัสบีเท่านั้น
ความรุนแรง : ทำให้โรคตับอักเสบบีรุนแรงขึ้นมาก ตับแข็ง มะเร็งตับ
การป้องกัน : ฉีดวัคซีนไวรัสบี ป้องกันไวรัสดีได้เช่นกัน
การติดต่อ : รับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก โดยเฉพาะเนื้อหมู หอย หรือน้ำดื่มไม่สะอาด
ความรุนแรง : ไข้สูง ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย ส่วนใหญ่หายเอง แต่ใน หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ อาจตับอักเสบรุนแรงได้
การป้องกัน : สุขอนามัยอาหารและน้ำดื่ม กินเนื้อหมูสุก ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
ควรตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง หากคุณมีความเสี่ยงเหล่านี้
การรักษาไวรัสตับอักเสบขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัส ระดับความรุนแรงของการอักเสบของตับ และสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย ดังนี้
ยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะทาง ส่วนใหญ่ อาการจะดีขึ้นได้เอง โดยเน้นพักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และติดตามการทำงานของตับ อาการมักหายภายในไม่กี่สัปดาห์ถึงเดือน
หากเป็นเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจหายเองได้ หรือจำเป็นต้องได้รับยารักษา แต่ถ้าเป็นเรื้อรัง แพทย์อาจให้ ยาต้านไวรัสเพื่อควบคุมปริมาณเชื้อ ลดการอักเสบของตับ ต้องติดตามค่าตับและปริมาณเชื้ออย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันตับแข็งและมะเร็งตับ ผู้ที่เป็นพาหะ (Carrier) จำเป็นต้องตรวจติดตามสม่ำเสมอ แม้จะไม่มีอาการ
ปัจจุบันมี ยาต้านไวรัสชนิด DAAs ที่ให้ผลการรักษาสูงมาก มีโอกาสหายขาดมากกว่า 95% หากเริ่มรักษาเร็ว และควบคุมปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย ยิ่งตรวจพบเร็ว ยิ่งรักษาได้ผลดี และลดความเสี่ยงตับแข็ง มะเร็งตับ
ต้องรักษาควบคู่กับไวรัสบี เนื่องจากเชื้อดีจะพบเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อบีมาก่อน จึงต้องดูแลโดย แพทย์ชำนาญการด้านโรคตับ อย่างใกล้ชิด
คล้ายกับไวรัสเอ คือเน้นรักษาตามอาการ ในผู้ป่วยตั้งครรภ์ ไตวายเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจเป็นรุนแรงจนอันตรายถึงชีวิตได้
หากมีอาการเหล่านี้สามารถปรึกษานัดหมายแพทย์ได้ที่โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล
อันตรายหากปล่อยทิ้งไว้ เพราะสามารถพัฒนาไปสู่ ตับแข็ง และ มะเร็งตับ โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบีและซีที่มีโอกาสเรื้อรังสูง
จำเป็นมาก! เพราะ กว่า 70% ของผู้ป่วยไม่มีอาการในระยะแรก ตับอาจถูกทำลายอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว การตรวจเลือดคือวิธีที่แม่นยำที่สุด
ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัสและปัจจัยสุขภาพแต่ละคน ไวรัสตับอักเสบบีและซีอาจทำให้เกิด ตับแข็งภายใน 10–20 ปี หากไม่ตรวจรักษาที่ถูกต้อง
ในปัจจุบันวัคซีนมีราคาถูกและมีความปลอดภัยสูงจึงควรฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่ไม่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและยังไม่มีภูมิต้านทานทุกคน ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่
– ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี
– ทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
– บุคลากรทางการแพทย์
– สามีหรือภรรยาของผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี
– ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องฟอกไต
– ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
– ผู้ป่วยที่ต้องได้รับยากดภูมิต้านทาน
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล
โทร. 02-734-0000