มะเร็งตับ ถือเป็นโรคใกล้ตัวและพบได้บ่อยมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และเป็นมะเร็งที่มีการเจริญเติบโตของโรคที่รวดเร็วมาก และมักเสียชีวิตภายในระยะไม่เกิน 3-6 เดือน หากตรวจพบในระยะสุดท้าย แต่หากรู้จักวิธีการดูแลตนเองและหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่เนินๆ อาจช่วยให้เราห่างไกลจากโรคมะเร็งตับได้ อย่างไรก็ตามหลายคนคงมีการสงสัยว่าคนที่เป็นมะเร็งตับจะเป็นเฉพาะคนที่ดื่มสุรามาก หรือผู้ที่เคยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบมาก่อนหรือไม่ วันนี้ พญ.ศศิพิมพ์ สัลละพันธ์ อายุรแพทย์โรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี ได้อธิบายถึงโรคมะเร็งตับว่า ตับ คือ อวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่ในการจัดการกับสารอาหารที่ดูดซึมเข้าจากลำไส้ สร้างสารต่างๆ เช่น สารประกอบที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน การแข็งตัวของเลือด และทำลายสารพิษที่รับประทานเข้าไป ซึ่งมะเร็งตับ จะเป็นการแบ่งตัวที่ผิดปกติของเซลล์ตับทำให้เกิดเป็นก้อนมะเร็งขึ้นมา โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญกระตุ้นให้เกิดมะเร็งตับ ได้แก่ โรคตับแข็งจากไวรัสตับอักเสบบี ซี เรื้อรัง จากแอลกอฮอลล์ ยา สำหรับไวรัสตับอักเสบบี อย่างไรก็ตามแม้คนที่ไม่เคยเป็นโรคตับแข็ง ก็สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้เช่นกัน ส่วนคนที่เป็นโรคอ้วนลงพุงซึ่งเป็นโรคของสังคมเมืองในปัจจุบันมักจะมีโรคตับอักเสบจากตับคั่งไขมันซ่อนอยู่ด้วย ซึ่งโรคนี้เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งตับได้
สำหรับประเภทของมะเร็งตับ หากเกิดกับตับโดยตรงในประเทศไทยจะมีพบมาก 2 ชนิด คือ มะเร็งชนิดเซลล์ตับ ซึ่งเป็นมะเร็งที่พบได้ทั่วทุกภาค และมะเร็งชนิดเซลล์ท่อน้ำดี จะเป็นมะเร็งที่พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่หากเป็นมะเร็งที่ลุกลามจากมะเร็งของอวัยวะอื่นมายังตับ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งทวารหนัก
นอกจากนั้น มะเร็งที่พบที่ตับอาจจะเป็นมะเร็งที่ลุกลามจากอวัยวะอื่นมายังตับได้เช่นกัน เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด และมะเร็งทวารหนัก
ส่วนระยะของโรคมะเร็งตับ พญ.ศศิพิมพ์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการแบ่งระยะโรคมะเร็งตับได้ 5 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 จะมีก้อนเนื้อมะเร็งขนาดเล็กเพียงก้อนเดียวไม่เกิน 2 เซนติเมตร ระยะนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้
ระยะที่ 2 จะมีก้อนเนื้อมะเร็งเพียงก้อนเดียว หรือ มีก้อนเนื้อไม่เกิน3ก้อน ขนาดเล็กกว่า 3 เซนติเมตร ระยะนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้
ระยะที่ 3 จะมีก้อนเนื้อมะเร็งหลายก้อนขนาดโตกว่ามะเร็งระยะที่ 2
ระยะที่ 4 ก้อนเนื้อมะเร็งโตมาก หรือ ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อข้างเคียงตับ หรือ เข้าหลอดเลือดดำในท้อง หรือ ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ตับ หรือ แพร่กระจายตามกระแสเลือดเข้าสู่ตับกลีบอื่นๆ รวมถึงลามไปสู่อวัยวะอื่นๆ
ระยะที่ 5 เป็นระยะที่ผู้ป่วยมีสุขภาพทรุดโทรมมาก นอนติดเตียงเป็นส่วนใหญ่ และ/หรือตับทำงานแย่มาก ไม่ว่าก้อนมะเร็งจะมีขนาดเท่าใด ระยะนี้แพทย์จะเลือกวิธีรักษาตามอาการให้ผู้ป่วยสบายขึ้น
พญ.ศศิพิมพ์ อธิบายต่อว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนใหญ่ที่เป็นระยะเริ่มแรกมักจะไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน ส่วนอาการที่สามารถพบได้และเข้าข่ายน่าสงสัย เช่น ปวดจุกแน่นท้อง รับประทานอาหารแล้วอิ่มเร็ว อ่อนเพลียง่าย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หากมีอาการตัว ตาเหลือง ท้องมานร่วมด้วย ส่วนใหญ่มักจะเป็นมากแล้ว สำหรับการวินิจฉัยนั้น แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมโดยการทำอัลตร้าซาวด์ ( Ultrasound ) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ( CT scan ) หรือการตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( MRI ) ของช่องท้อง ร่วมกับการตรวจเลือดหรือทำการเจาะตรวจชิ้นเนื้อก้อนในตับ
เมื่อวินิจฉัยได้แล้ว อย่าเพิ่งวิตกกังวลจนเกินไปนัก เพราะ มะเร็งตับยังมีวิธีรักษาให้หายขาดได้ เช่น การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก ซึ่งปัจจุบันเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ดีแต่ควรทำโดยทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญการผ่าตัดตับโดยเฉพาะ หากตับทำงานแย่มากสามารถรักษาโดยการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ หรือแพทย์อาจจะเลือกใช้พลังงานความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุ (RFA) จี้เผาทำลายก้อนมะเร็ง การจะเลือกวิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย แต่หากไม่สามารถทำวิธีดังกล่าวได้ ก็ยังมีวิธีอื่นๆอีกที่ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น เทคนิค embolization การให้ยาเคมีบำบัด การให้ Immunotherapy ปัจจุบันการรักษามะเร็งตับก้าวหน้ากว่าสมัยก่อนมาก ทั้งในด้านวิธีการรักษา ยา ตลอดจนเครื่องมือที่ทันสมัย โดยหากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และมีกำลังใจที่ดีจะทำให้ผู้ป่วยสามารถต่อสู้กับโรคร้ายได้
เมื่อทราบดังนี้แล้ว เราทุกคนควรเริ่มดูแลตนเองให้ห่างไกลจากมะเร็งตับซึ่งทำได้ไม่ยาก ได้แก่ การงดดื่มเหล้า งดสูบบุหรี่ ใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารไม่เผลอไปกับของอ้วนๆ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อดูแลไม่ให้ตนเองมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน เลี่ยงอาหารแห้งที่เก่า และ ไม่สะอาด เช่น ถั่วลิสง กระเทียม พริกแห้ง เต้าหู้ยี้ ที่อาจจะมีเชื้อราปนเปื้อน หากท่านใดเป็นไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง หรือมีความเสี่ยงดังที่ได้กล่าวมา ควรไปพบแพทย์ เพียงเท่านี้มะเร็งตับก็ยากที่จะมาเยือนตัวเราได้
พญ. ศศิพิมพ์ สัลละพันธ์
อายุรแพทย์โรคทางเดินอาหารและตับ
- Readers Rating
- Rated 5 stars
5 / 5 (Reviewers) - Spectacular
- Your Rating