รู้แต่ไม่รักษา = พกระเบิดเวลาไว้ในตัว! “นิ่วในถุงน้ำดี” อันตรายกว่าที่คิด

บทความสุขภาพ

หลายคนมักเข้าใจว่าอาการปวดท้องเป็นเพียงเรื่องธรรมดา แต่ในบางครั้ง “อาการปวดท้องบางจุด” อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะ นิ่วในถุงน้ำดี (Gallstones) ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนวัยทำงานและผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

นิ่วในถุงน้ำดี เกิดจากอะไร

นิ่วในถุงน้ำดี (Gallstones) เกิดจากการตกผลึกของสารในน้ำดี เช่น คอเลสเตอรอล หรือเม็ดสีบิลิรูบิน ภายในถุงน้ำดี เมื่อก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่หรือเคลื่อนไปอุดทางเดินน้ำดี จะทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างเฉียบพลัน

ปวดท้องแบบไหน…เข้าข่ายอาการนิ่วในถุงน้ำดี

หากมีอาการ “ปวดท้อง” ที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม เพราะอาจเป็นสัญญาณของ นิ่วในถุงน้ำดี ได้

  • ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา หรือท้องส่วนบนขวา
    • ปวดตื้อ ๆ หรือบีบรัดเป็นพัก ๆ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
    • อาจปวดร้าวไปบริเวณไหล่ขวาหรือหลัง
  • ปวดท้องรุนแรงเฉียบพลันหลังรับประทานอาหารมันหรือทอด
    • เช่น อาหารจำพวกของทอด นมเนย หรือแกงกะทิ
    • อาการปวดจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงเมื่อถุงน้ำดีคลายตัว
  • คลื่นไส้ อาเจียน และแน่นท้องบ่อย
    • เกิดจากถุงน้ำดีบีบตัวผิดปกติ หรือมีการอุดตันจากนิ่ว
  • มีไข้ หนาวสั่น หรือผิวเหลืองตาเหลือง (ดีซ่าน)
    • เป็นสัญญาณว่าอาจมีการติดเชื้อหรือท่อน้ำดีอุดตัน ต้องรีบพบแพทย์ทันที

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นนิ่วในถุงน้ำดี

  • ผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน
  • ผู้ที่รับประทานอาหารไขมันสูง
  • ผู้ที่อดอาหารนาน หรือทำ IF ผิดวิธี
  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
  • ผู้ป่วยเบาหวาน หรือมีระดับคอเลสเตอรอลสูง

ทำไม “นิ่วในถุงน้ำดี” ถึงอันตรายเหมือนระเบิดเวลา

เพราะนิ่วที่ก่อตัวในถุงน้ำดีอาจเคลื่อนตัวไปอุดตันตามส่วนต่าง ๆ และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น

นิ่วอุดตันบริเวณปากถุงน้ำดี

เสี่ยงภาวะ ถุงน้ำดีอักเสบ ทั้งแบบไม่รุนแรงและแบบรุนแรงจนถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด โดยเฉพาะในผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ มีโรคประจำตัว หรือผู้สูงอายุ

นิ่วอุดตันบริเวณท่อน้ำดี

 ทำให้น้ำดีไม่สามารถไหลลงลำไส้ แต่ไหลย้อนกลับไปที่ตับ ส่งผลให้เกิดภาวะ ตาเหลือง ตัวเหลือง หรือท่อน้ำดีอักเสบ

นิ่วอุดตันบริเวณปลายท่อน้ำดี

เสี่ยงเกิด ตับอ่อนอักเสบ เพราะน้ำย่อยไม่สามารถออกจากตับอ่อนได้ หากอักเสบรุนแรงอาจถึงขั้น ภาวะช็อกและเสียชีวิตได้

วิธีการตรวจวินิจฉัยนิ่วในถุงน้ำดี

แพทย์จะซักประวัติอาการและตรวจด้วยการทำอัลตราซาวนด์ช่องท้อง (Ultrasound) เพื่อดูการมีอยู่ของนิ่ว ในบางรายอาจต้องตรวจเพิ่มเติมด้วย MRI หรือ CT Scan เพื่อประเมินความรุนแรงและตำแหน่งของนิ่ว

แนวทางการรักษานิ่วในถุงน้ำดี

การรักษานิ่วในถุงน้ำดีที่เป็นวิธีเฉพาะเจาะจงและได้ผลดีที่สุดกับโรคนี้ คือการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกด้วยวิธีการส่องกล้อง (Laparoscopic cholecystectomy หรือเรียกสั้นๆว่า LC ) ซึ่งเป็นมาตรฐานในการรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดี การผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกนั้น น้ำดียังคงถูกผลิตมาจากตับเช่นเดิม อาจมีอาการอืดเเน่นท้องในช่วงเ1-2 อาทิตย์แรกหลังการผ่าตัดได้ถ้ากินอาหารปริมาณมาก หรือรับประทานอาหารเร็วเกินไป เเต่อาการเหล่านี้ร่างกายจะปรับสมดุลกลับเป็นปกติได้ภายใน 1-2 เดือน

เทคโนโลยีผ่าตัดส่องกล้อง แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการผ่าตัดรักษานิ่วในถุงน้ำดี ด้วยการผ่าตัดส่องกล้อง เป็นการผ่าตัดที่เจาะแผลเล็ก ๆ ขนาด 0.5-1 เซนติเมตร ผ่านหน้าท้อง 3-4 จุด บริเวณสะดือและใต้ชายโครงด้านขวา เพื่อสอดอุปกรณ์ และกล้องความละเอียดสูงเข้าไปตัดเลาะถุงน้ำดีออก ซึ่งการผ่าตัดวิธีนี้จะให้ผลเทียบเท่ากับการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง แต่จะใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่ามาก เกิดภาวะเเทรกซ้อนน้อยกว่า นอนโรงพยาบาลประมาณ 2 – 3 วัน กลับไปใช้ชีวิตได้เร็วกว่าซึ่งเป็นการรักษาที่เป็นมาตรฐานในปัจจุบัน

วิธีป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี

  • รับประทานอาหารไขมันต่ำ เพิ่มผักและผลไม้
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
  • หลีกเลี่ยงการอดอาหารนาน
  • ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างต่อเนื่อง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล
โทร. 02-734-0000

Medically Reviewed by

นพ. ธนภูมิ ลิ้มตระกูล
นพ. ธนภูมิ ลิ้มตระกูล

ศัลยศาสตร์

ศัลยศาสตร์โรคตับและทางเดินน้ำดี

Readers’ Rating

5.0 out of 5 stars (based on 5 reviews)