มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer)
มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer) เป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับต้น ๆ ของคนไทย เกิดจากการที่เซลล์ปกติในลำไส้ใหญ่มีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างควบคุมไม่ได้ ในระยะแรกอาจเริ่มต้นจากการเป็นเพียงติ่งเนื้อขนาดเล็ก (Polyps) ที่ไม่ใช่มะเร็ง แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยและตัดออก ติ่งเนื้อจะพัฒนาจนกลายเป็นก้อนมะเร็งและลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้
อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่
ในระยะแรกของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน แต่เมื่อโรคดำเนินไปมากขึ้น อาจพบสัญญาณเตือนที่ควรสังเกต ดังนี้
- พฤติกรรมการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย
- ถ่ายเป็นเลือดสด หรือมีเลือดออกปนกับมูกมาในอุจจาระ
- ลักษณะของอุจจาระเปลี่ยนไป มีขนาดลำเล็กลงผิดปกติ
- มีอาการปวดท้อง ท้องอืด หรือปวดเกร็ง
- รู้สึกอ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่ายผิดปกติ
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเหตุผล
- รู้สึกปวดเบ่ง หรือรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด
ระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่
การแบ่งระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนการรักษา โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 5 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 0 เซลล์มะเร็งเป็นเพียงติ่งเนื้อ สามารถตรวจพบได้จากการส่องกล้อง (Colonoscopy) และตัดออกผ่านการส่องกล้องได้
- ระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งยังอยู่เฉพาะในชั้นผิวของผนังลำไส้ใหญ่ ยังไม่กระจายไปสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงหรือต่อมน้ำเหลือง
- ระยะที่ 2 เซลล์มะเร็งได้เติบโตทะลุผนังลำไส้ใหญ่ไปสู่เนื้อเยื่อใกล้เคียง แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง
- ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งได้ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง (regional lymph node) แต่ยังไม่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น
- ระยะที่ 4 เป็นระยะแพร่กระจาย โดยเซลล์มะเร็งได้กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น ตับ ปอด เยื่อบุช่องท้อง หรือสมอง
สาเหตุของมะเร็งลำไส้ใหญ่
- พันธุกรรม มียีนที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ เช่น APC gene หรือมีความผิดปกติของยีนที่ควบคุมโปรตีนที่ช่วยซ่อมแซม DNA เมื่อเกิดการผ่าเหล่า (Mutation) เช่น MISMATCH REPAIR GENE
- ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างแน่ชัด แต่เชื่อว่า เกิดจากการกลายพันธุ์ของ DNA ในเซลล์เยื่อบุลำไส้ ซึ่งทำให้เซลล์มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างผิดปกติและควบคุมไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ค่อย ๆ เกิดขึ้นและใช้เวลานานหลายปีในการพัฒนาจากเซลล์ปกติไปเป็นติ่งเนื้อ และกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
- อายุ มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มักพบมากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
- ประวัติส่วนตัวหรือคนในครอบครัว เคยมีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ หรือมีญาติสายตรง (พ่อ, แม่, พี่, น้อง) ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
- โรคอักเสบเรื้อรังในลำไส้ เช่น โรค Ulcerative Colitis หรือ Crohn’s Disease ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เนื้อแดง และอาหารแปรรูปในปริมาณมาก แต่รับประทานผักผลไม้และกากใยน้อย
- ขาดการออกกำลังกายและมีภาวะอ้วน เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น
- สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณสูง มีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การตรวจประเมินมะเร็งลำไส้ใหญ่
การตรวจคัดกรองในขณะที่ยังไม่มีอาการ เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม โดยเฉพาะผู้มีอายุ 45 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง
- การตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ (Fecal Immunochemical Test – FIT) สามารถตรวจได้ว่า มีเลือดออกในทางเดินอาหารหรือไม่ ซึ่งจะปนมากับอุจจาระ แนะนำให้ตรวจเป็นประจำทุกปี
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ถือเป็นวิธีมาตรฐาน เพราะสามารถมองเห็นภาพภายในลำไส้ใหญ่ได้ทั้งหมด และหากพบติ่งเนื้อที่ผิดปกติ แพทย์สามารถตัดออกเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยาได้
- Stool DNA Test ตรวจหา DNA ที่ผิดปกติที่ปนมาในอุจจาระ
- CT colonoscopy
การวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่
เมื่อแพทย์สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะมีการตรวจเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย เช่น
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) และตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) เป็นวิธีที่แม่นยำในการยืนยันว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ โดยแพทย์จะนำชิ้นเนื้อที่สงสัยไปตรวจทางพยาธิวิทยา
- การตรวจเลือดเพื่อดูค่าสารบ่งชี้มะเร็ง (CEA) ไม่ได้ใช้เพื่อวินิจฉัยโรคโดยตรง แต่ใช้ตรวจเพื่อดูค่าผิดปกติที่ผลิตโดยมะเร็งลำไส้ เช่น ค่า Carcinoembryonic Antigen (CEA) ช่วยประเมินการพยากรณ์โรคและติดตามผลการรักษา
- การตรวจทางรังสีวิทยาเพิ่มเติม เช่น การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography Scan : CT scan) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging : MRI)
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่
การรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค ตำแหน่งของก้อนมะเร็ง และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยแพทย์จะประเมินอาการและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมที่สุด
การผ่าตัด (Surgery)
การผ่าตัดป็นการรักษาหลักสำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะที่ 0-3 โดยแพทย์จะพิจารณาจากระยะและตำแหน่ง เช่น ในระยะที่ 0 แพทย์จะใช้วิธีการตัดติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ (Polypectomy) ส่วนระยะลุกลามนั้น จะทำการผ่าตัดลำไส้ใหญ่บางส่วนออก (Partial Colectomy) และต่อส่วนที่ปกติเข้าด้วยกัน
หากเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย อาจจำเป็นต้องทำทวารเทียม (Ostomy) โดยเปิดผนังด้านหน้าท้อง และสร้างจุดที่สามารถจะเป็นทางออกอุจจาระได้
เคมีบำบัด (Chemotherapy)
เคมีบำบัด (Chemotherapy) เป็นการให้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่หลังการผ่าตัด ลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำ หรือใช้ก่อนผ่าตัดเพื่อลดขนาดของก้อนมะเร็ง ทำให้การผ่าตัดง่ายขึ้น กรณีที่เป็นระยะแพร่กระจาย การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดจะเป็นการรักษาหลักเพื่อประคับประคองอาการ โดยจะไปหยุดการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังอวัยวะอื่น ๆ
รังสีรักษา (Radiation Therapy)
รังสีรักษา (Radiation Therapy) เป็นการใช้รังสีพลังงานสูงฉายไปยังตำแหน่งของก้อนมะเร็ง ทั้งในกรณีที่มะเร็งยังไม่แพร่กระจาย และกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย สำหรับมะเร็งระยะแพร่กระจายนั้น เป้าหมายจะเป็นการรักษาแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด
การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)
การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) เป็นหนึ่งในนวัตกรรมการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลาม โดยยาจะออกฤทธิ์จำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง โดยไม่ออกฤทธิ์กับเซลล์ปกติ หรือมีผลกับเซลล์ปกติน้อยที่สุด ข้อดีคือยาจะส่งผลกระทบต่อเซลล์ปกติน้อยกว่ายาเคมีบำบัด ประสิทธิภาพดี ผลข้างเคียงแตกต่างจากเคมีบำบัด
ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) เป็นอีกหนึ่งแนวทางการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลามที่ได้ผลดี โดยมีหลักการทำงานที่แตกต่างออกไป คือไม่ได้มุ่งทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง แต่เป็นการใช้ยาเพื่อเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายในการกำจัดเซลล์มะเร็ง ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องตรวจลักษณะเฉพาะของเซลล์มะเร็งก่อน เพื่อประเมินว่าผู้ป่วยจะตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีนี้หรือไม่
การป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
เราสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการตรวจคัดกรอง
- ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เน้นทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีกากใยสูง ลดการทานเนื้อแดงและอาหารแปรรูป
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- งดสูบบุหรี่ และลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เข้ารับการตรวจคัดกรอง ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองตั้งแต่อายุ 45 ปีเป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม หากมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ อาจจำเป็นต้องพิจารณาเริ่มตรวจคัดกรองตั้งแต่ 10 ปีก่อน อายุที่คนในครอบครัววินิจฉัยมะเร็งลำไส้หรืออายุ 45 ปี แล้วแต่อะไรมาถึงก่อน
.
