รู้แต่ไม่รักษา = พกระเบิดเวลาไว้ในตัว! “นิ่วในถุงน้ำดี” อันตรายกว่าที่คิด
นิ่วในถุงน้ำดี เกิดจากการตกผลึกของคอเลสเตอรอลในน้ำดี อาการปวดท้องขวา คลื่นไส้ หรือดีซ่าน อาจเป็นสัญญาณเตือน รีบตรวจวินิจฉัยก่อนสาย
เส้นเลือดปูดนูนขึ้นมาบนขา อาจไม่ใช่แค่ปัญหาความสวยงาม แต่อาจเป็นสัญญาณของ “เส้นเลือดขอด” โรคหลอดเลือดที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในคนที่ต้องยืนนาน นั่งนาน บทความนี้จะพาคุณมารู้จักสาเหตุของเส้นเลือดขอดที่ขา อะไรคือปัจจัยเสี่ยง อาการที่ไม่ควรมองข้าม และวิธีรักษาที่มีทั้งแบบไม่ผ่าตัดและผ่าตัด เพื่อให้คุณดูแลตัวเองได้อย่างถูกวิธี ก่อนที่อาการจะลุกลาม
นายแพทย์ศุภชัย จันทร์วิทัน ศัลยแพทย์ชำนาญการด้านหลอดเลือด โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า เส้นเลือดขอด หรือชื่อในทางการแพทย์คือ โรคหลอดเลือดดำชั้นตื้นบกพร่องเรื้อรัง หมายถึงการที่เส้นเลือดมีการปูดขยายคล้ายตัวหนอนมากกว่า 3 มิลลิเมตร สาเหตุเกิดจากความเสื่อมของหลอดเลือดดำ ทำให้เกิดแรงดันภายในหลอดเลือด เลือดจึงไหลเวียนกลับไปเลี้ยงที่หัวใจได้ไม่ดีเท่าที่ควร จนเกิดอาการปวดและบวมบริเวณขาในที่สุด
อาการที่พบได้ทั่วไปมีดังนี้
ความรุนแรงของเส้นเลือดขอด มีความแตกต่างกันในแต่ละระยะ ซึ่งหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดโอกาสในการลุกลามของแผลเส้นเลือดขอดได้ ซึ่งแบ่งเป็น 6 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 เส้นเลือดมีลักษณะคล้ายใยแมงมุม มักมีขนาดน้อยกว่า 3 มิลลิเมตร
ระยะที่ 2 เส้นเลือดเริ่มปูดเป็นตัวหนอน ขนาดใหญ่มากกว่า 3 มิลลิเมตร และมีอาการปวดเมื่อใช้งานเป็นระยะเวลานาน เช่น นั่ง เดิน หรือ ยืน
ระยะที่ 3 เริ่มมีอาการขาบวม และปวดมากขึ้นถึงแม้จะใช้งานในระยะเวลาสั้น ๆ
ระยะที่ 4 สีผิวที่ขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำเข้มขึ้น ซึ่งเป็นภาวะอักเสบของผิวหนัง
ระยะที่ 5 แผลหายจากการรักษา แต่ยังมีลักษณะอื่น ๆ ร่วม เช่น ผิวหนังที่เปลี่ยนสีเป็นสีดำระยะที่ 6 เกิดแผลที่เป็นลักษณะเฉพาะของแผลบริเวณหลอดเลือดดำ เช่น ขอบแผลแดง
แม้ว่าภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจะพบไม่บ่อย แต่การปล่อยเส้นเลือดขอดทิ้งไว้โดยไม่ดูแลรักษา อาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ได้ ดังนี้
โดยทั่วไปเส้นเลือดขอดที่ไม่รุนแรงอาจไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการดังต่อไปนี้
ในเบื้องต้น แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ เช่น อาการปวด ความรู้สึกหนักที่ขา ประวัติการเจ็บป่วยและประวัติครอบครัว จากนั้นจะทำการตรวจร่างกายเพื่อดูลักษณะของเส้นเลือดขอดและประเมินอาการบวม ส่วนขั้นตอนการวินิจฉัยเส้นเลือดขอดเพิ่มเติม ทำได้โดยการตรวจอัลตราซาวด์หลอดเลือด เพื่อดูโครงสร้างของหลอดเลือดและทิศทางการไหลเวียนของเลือด
เป้าหมายของการรักษาเส้นเลือดขอด คือการลดอาการปวดที่เกิดจากแรงดันในหลอดเลือด เพื่อไม่ให้รบกวนชีวิตประจำวันอีกต่อไป ดังนั้น การรักษาที่เหมาะสมคือการลดแรงดันในหลอดเลือดดำ ซึ่งสามารถทำได้ทั้งแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัด
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด คือการให้ยาลดการอักเสบของหลอดเลือดดำ หรือ การใส่ถุงน่องเส้นเลือดขอดเพื่อให้เลือดภายในหลอดเลือดดำไหลกลับคืนสู่หัวใจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ 2 วิธีนี้ จะช่วยบรรเทาอาการเท่านั้น ไม่สามารถรักษาให้หายได้
การรักษาแบบผ่าตัด เหมาะสำหรับคนไข้ที่เริ่มมีอาการ ตั้งแต่ระยะ 2 ขึ้นไป โดยในปัจจุบันมีการผ่าตัดรักษาแบบแผลเล็ก ได้ผลดีเทียบเท่ากับการผ่าตัดแบบดั้งเดิม สามารถทำได้ทั้งแบบใช้ความร้อนทำลายหลอดเลือด คือการทำเลเซอร์ หรือ ใช้คลื่นวิทยุ และแบบไม่ใช้ความร้อน คือการฉีดสารเคมี หรือ ใส่กาววิทยาศาสตร์ เพื่อเข้าไปทำลายผนังหลอดเลือดดำจนไม่มีเลือดไหลผ่าน ซึ่งวิธีนี้เป็นการผ่าตัดสมัยใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม และให้ผลการรักษาที่ดีกว่าการผ่าตัดแบบเดิม ทำให้มีแผลขนาดเล็กประมาณ 2 – 3 มม. เจ็บน้อย ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า
“ การรักษาแผลเส้นเลือดขอด ถ้ารักษาไม่ถูกวิธี เช่น เจอแผลแล้วทำแค่แผล จะยิ่งทำให้เกิดการลุกลาม แผลอาจมีน้ำเหลืองออกมามากขึ้น โดยวิธีที่ถูกต้องคือการรักษาแรงดันในหลอดเลือดดำ เพราะถ้าไม่ลดแรงดัน แผลก็จะไม่หาย เพราะฉะนั้นหากพบว่ามีปัญหาเรื่องเส้นเลือดขอด ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องและได้รับการรักษาที่เหมาะสม ” นายแพทย์ศุภชัย กล่าว
ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล
โทร. 02-734-0000 ต่อ 4500 , 4501