มะเร็งตับอาจเริ่มจากแค่อาการคัน
อาการคัน ตัวเหลือง เหนื่อยง่าย อาจเป็นสัญญาณมะเร็งตับ ตรวจพบเร็วเพิ่มโอกาสรักษาได้ แนะนำวิธีตรวจคัดกรองและอาการเตือนสำคัญ

เมื่อเซลล์ในเลือดเปลี่ยนแปลงกลายเป็นภัยเงียบ มะเร็งทางโลหิตวิทยาจึงกลายเป็นศัตรูของร่างกายที่เรามองไม่เห็น การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นแนวทางการรักษา ที่มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูระบบเลือดของผู้ป่วย ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตหลังปลูกถ่ายไขกระดูกและช่วยยืดอายุชีวิตอย่างมีคุณภาพ
มะเร็งทางโลหิตวิทยา เป็นกลุ่มของโรคมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือด หรือเซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือดในไขกระดูก ทำให้เซลล์เหล่านี้เติบโตผิดปกติ แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย จึงสร้างเม็ดเลือดที่สมบูรณ์ได้น้อยลง ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อง่าย เลือดออกง่าย และเกิดภาวะโลหิตจาง
โรคมะเร็งเลือดที่พบบ่อย ได้แก่
ปัจจัยเสี่ยงอาจเกิดจากพันธุกรรม การได้รับสารเคมีบางชนิด เช่น เบนซีน การสัมผัสรังสีในปริมาณสูง การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HTLV-1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับมะเร็งเม็ดเลือดบางประเภท รวมถึงความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง อาจมีความเสี่ยงมากขึ้น
การปลูกถ่ายไขกระดูกหรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (Hematopoietic Stem Cell Transplantation) เป็นหนึ่งในแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระบบเลือด โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบเดิม เพื่อช่วยฟื้นฟูระบบสร้างเม็ดเลือด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และเพิ่มโอกาสรอดชีวิต ลดโอกาสเกิดโรคซ้ำ
ไขกระดูกเป็นศูนย์กลางของการสร้างเม็ดเลือดในร่างกาย เมื่อเกิดโรคมะเร็ง เม็ดเลือดที่สร้างจากไขกระดูกจะผิดปกติ การปลูกถ่ายไขกระดูกจึงเป็นการ “ล้าง” ระบบเดิม และแทนที่ด้วยเซลล์ต้นกำเนิดใหม่ที่สมบูรณ์ เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดปกติได้อีกครั้ง โดยประเภทของการปลูกถ่ายไขกระดูก มี 2 แนวทาง
ใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวผู้ป่วยเอง โดยเก็บไว้ก่อนรักษาด้วยเคมีบำบัด แล้วจึงนำกลับเข้าไปในร่างกายหลังจากทำลายเซลล์มะเร็งหมดแล้ว
ใช้สเต็มเซลล์จากผู้บริจาคที่มีเนื้อเยื่อเข้ากันได้ อาจเป็นญาติสายเลือดเดียวกัน เช่น พี่ น้อง หรือผู้บริจาคจากธนาคารสเต็มเซลล์ที่มีเนื้อเยื่อเข้ากันได้
ก่อนการปลูกถ่ายไขกระดูก ผู้ป่วยต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความพร้อม เช่น ตรวจเลือด ตรวจการทำงานของอวัยวะ และสภาพร่างกายโดยรวม
นอกจากนี้ ก่อนที่ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก ผู้ป่วยจะได้รับเคมีบำบัดในปริมาณสูง หรือฉายแสงทั้งตัว เพื่อทำลายเซลล์ไขกระดูกเดิมที่ผิดปกติ และทำลายระบบภูมิคุ้มกันเพื่อไม่ให้ต่อต้านเซลล์ที่ปลูกเข้าไป และเตรียมพื้นที่ในไขกระดูกให้เซลล์ใหม่เข้าไปฝังตัวได้ เมื่อร่างกายพร้อมแล้ว แพทย์จะฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าสู่หลอดเลือดดำ คล้ายกับการให้เลือด เซลล์เหล่านี้จะเดินทางไปฝังตัวในไขกระดูกและเริ่มสร้างเม็ดเลือดใหม่
ช่วงนี้ถือเป็น “ระยะสำคัญ” ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด โดยร่างกายจะใช้เวลา 2–4 สัปดาห์ในการให้สเต็มเซลล์เริ่มทำงาน เรียกว่า Engraftment ซึ่งผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการปลูกถ่ายไขกระดูกสูง เช่น การติดเชื้อ เนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำมาก ต้องอยู่ในห้องปลอดเชื้อ และแพทย์จะติดตามค่าการเจริญเติบโตของเม็ดเลือด และอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด
แม้การปลูกถ่ายไขกระดูกจะมีศักยภาพในการรักษาโรคให้หายขาด แต่ก็มีความเสี่ยง เช่น การติดเชื้อ ภาวะ “ภูมิคุ้มกันต่อต้านผู้รับ” (Graft-versus-host disease – GVHD) หรือภาวะไขกระดูกไม่ฝังตัว ดังนั้น ผู้ป่วยจำเป็นต้องดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะเมื่อการปลูกถ่ายไขกระดูกประสบความสำเร็จ ก็สามารถ “รีสตาร์ทร่างกาย” ให้กลับมาแข็งแรงได้อย่างแท้จริง
Life Cancer Center โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล
โทร. 02-734-0390 ต่อ 2200, 2204