รู้แต่ไม่รักษา = พกระเบิดเวลาไว้ในตัว! “นิ่วในถุงน้ำดี” อันตรายกว่าที่คิด
นิ่วในถุงน้ำดี เกิดจากการตกผลึกของคอเลสเตอรอลในน้ำดี อาการปวดท้องขวา คลื่นไส้ หรือดีซ่าน อาจเป็นสัญญาณเตือน รีบตรวจวินิจฉัยก่อนสาย
อ่านรายละเอียด : https://bit.ly/2MJUcff
การขับถ่าย เป็นอีกหนึ่งกิจวัตรสำคัญ ในการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย และไม่ใช่เรื่องน่าอาย หากเราจะสังเกตอุจจาระดูบ้าง เพราะลักษณะและสีของอุจจาระ สามารถบ่งบอกปัญหาสุขภาพได้ หากมีความผิดปกติ เช่น อุจจาระแข็ง สีคล้ำ หรือมีเลือดปน อาจเป็นสัญญาณของโรคบางโรค ที่กำลังคุกคามสุขภาพของเราอยู่
ผู้ที่มีอาการท้องผูกบ่อย ๆ มีความเสี่ยงเป็นโรคริดสีดวงทวารหนักมากกว่าผู้ที่ขับถ่ายได้ตามปกติ หากมีอุจจาระเป็นก้อนแข็งบ่อยครั้ง อุจจาระจะครูดกับผิวหรือเยื่อเมือกของทวารหนัก จนเกิดเป็นแผล มีเลือดสดไหลปนออกมาเป็นหยด ๆ หรือเป็นเส้น ๆ พร้อมอุจจาระ นอกจากจะมีอาการปวดแสบบริเวณรูทวารหนักแล้ว อาการแสดงออกของริดสีดวงยังอาจมีก้อนริดสีดวงปลิ้นออกมา จนมีอาการอักเสบ ปวดแสบหนักมากขึ้น หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี
มีเลือดสด หรือลิ่มเลือดไหลออกมาพร้อมกับอุจจาระ แต่ไม่มีอาการปวดแสบทวารหนัก เพราะไม่มีอาการท้องผูก อาจเป็นเพราะมีเลือดออกในลำไส้ใหญ่ หากมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย และหยุดไหลได้เอง สามารถรอดูอาการที่บ้านได้ แต่หากมีเลือดไหลออกมาก ควรรีบมาพบแพทย์จะดีที่สุด
อาการอาจเริ่มจากอาเจียนออกมาเป็นเลือดก่อน (หรือไม่มีอาการอาเจียนเลยก็ได้) จากนั้นอาจตามด้วยอุจจาระเป็นเลือด โดยเลือดจะเป็นสีเข้มจนเกือบดำ หากถ่ายเป็นเลือดจำนวนมาก ควรรีบมาพบแพทย์โดยด่วน
เกิดจากเลือดไม่สามารถเข้าไปไหลเวียนในลำไส้ได้ ทำให้เซลล์ลำไส้เริ่มไม่ทำงาน จนกระทั่งเซลล์ตาย และเริ่มเน่าจนมีแบคทีเรีย ผู้ป่วยมักมีอาการปวดเกร็งท้อง อาจปวดมากจนหมดสติ และเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดจนเสียชีวิตได้ หากระหว่างปวดท้องมีอาการถ่ายเป็นเลือด แสดงว่าอาการเริ่มหนัก ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจโดยละเอียด เพราะหากลำไส้บางส่วนเริ่มเน่า จะต้องผ่าตัดนำลำไส้ส่วนที่เสียออกไป แล้วต่อลำไส้ที่ยังทำงานได้ตามปกติเข้าด้วยกัน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : https://bit.ly/2NBESgb
การประคับประคองอาการริดสีดวงทวารด้วยตนเอง โดยเฉพาะการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเพิ่มความดันในกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด ที่เป็นต้นเหตุของโรคริดสีดวงทวาร ลองมาดูกันว่าวิธีการรักษาอาการริดสีดวงขั้นต้นด้วยตัวเอง มีอะไรบ้าง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : https://bit.ly/2SIhwJ1
เทคโนโลยี HAL-RAR ปัญหาท้องผูกจากรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย หรือใช้เวลาเบ่งถ่ายอุจจาระนาน อาจเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิด ‘ริดสีดวงทวารหนัก’ ซึ่งแม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงส่งผลต่อชีวิต แต่กระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดความทรมานไม่ว่าจะนั่งหรือยืน มีอาการคันและเจ็บปวดบริเวณทวารหนัก อีกทั้งยังมีเลือดออกหลังการอุจจาระ
ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคนิคการรักษาแนวทางใหม่โดยไม่อาศัยการผ่าตัด ช่วยลดอัตราการบาดเจ็บ ลดความทรมาน ลดภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว กลับมาขับถ่ายอย่างสะดวกได้ตามปกติ
‘ริดสีดวงทวารหนัก’ เป็นภาวะที่หลอดเลือดบริเวณทวารหนักเกิดการปูดพอง บางครั้งอาจมีการปริแตกของผนังหลอดเลือดขณะเบ่งถ่ายอุจจาระร่วมด้วย จึงทำให้มีเลือดออกเป็นครั้งคราว อาการของโรคมักปรากฏเมื่อท้องผูกบ่อยครั้ง โดยริดสีดวงทวารหนัก สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
สำหรับโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะเริ่มแรก สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการรับประทานยา หรือใช้ยาเหน็บ ร่วมกับการดูแลตนเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น เน้นรับประทานอาหารที่มีกากใย ดื่มน้ำให้เพียงพอ และฝึกการขับถ่ายเป็นเวลา ส่วนระยะถัดมา อาจรักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น การรัดยาง การเย็บหัวริดสีดวง เป็นต้น สำหรับระยะที่เป็นหนักมากแล้ว ส่วนใหญ่แล้วแนะนำรักษาด้วยการผ่าตัด แต่การผ่าตัด ทำให้มีแผลบริเวณปากทวารหนัก และต้องใช้เวลาพักฟื้นค่อนข้างนาน
แต่ปัจจุบันมีเทคนิคในการรักษาโรคริดสีดวงทวารหนักแนวทางใหม่ เรียกว่า (Haemorrhoidal Artery Ligation and Recto Anal Repair) หรือ HAL-RAR ซึ่งประยุกต์การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Doppler Ultrasound) เข้ามาช่วยตรวจหาตำแหน่งของเส้นเลือดแดงที่มาเลี้ยงหัวริดสีดวงทวารหนัก แล้วทำการเย็บผูกรัดหลอดเลือดแดง เพื่อลดความดันเลือดที่ไปขยายขนาดของหัวริดสีดวงทวารให้ลดลง ทำให้หัวริดสีดวงหดเล็กโดยไม่ตัดหัวริดสีดวงหรือเยื่อบุทวารหนักใด ๆ ทั้งสิ้น และสามารถรักษาด้วยการเย็บผูกรั้งดันเนื้อริดสีดวงกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้ โดยไม่มีการตัดเนื้อเยื่อออก ซึ่งหัวริดสีดวงจะค่อย ๆ ลดขนาดลงภายใน 3-4 สัปดาห์ ข้อดีของการรักษาริดสีดวงทวารหนัก ด้วยเทคโนโลยี HAL-RAR นี้ ช่วยลดอัตราการบาดเจ็บ ลดความทรมาน ลดภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว กลับมาขับถ่ายอย่างสะดวกได้ตามปกติ
แม้ว่าความก้าวล้ำทางการแพทย์ จะมีการรักษาที่ช่วยลดอัตราการเจ็บปวดให้น้อยลงแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เราควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพื่อหลีกเลี่ยงอาการริดสีดวง โดยเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใย ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หมั่นสังเกตระบบขับถ่ายของตนเอง และฝึกการขับถ่ายให้เป็นกิจวัตร ตลอดจนเลี่ยงการนั่งนาน ๆ เช่น ไม่ควรนั่งเล่นสมาร์ทโฟน หรืออ่านหนังสือระหว่างเบ่งถ่ายอุจจาระ เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดโรคริดสีดวงทวารหนัก หรือป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีก
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : https://bit.ly/30GiqdO


พฤติกรรมการใช้ชีวิต ทั้งการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ใช้เวลาเบ่งถ่ายอุจจาระนาน อาการท้องผูก ยกของหนัก รวมถึงการตั้งครรภ์ ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิด “โรคริดสีดวงทวารหนัก” ซึ่งแม้ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดความทรมานไม่ว่าจะนั่งหรือเดิน
คุณโย ธิดารัตน์ ทวาเรศเรืองคราม หนึ่งในผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนัก ที่ทนอยู่กับความทรมานจากอาการของโรค เป็นเวลานานถึง 7 ปี เล่าว่า “ดิฉันเป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก จากการตั้งครรภ์ลูกคนแรกเมื่อปีพ.ศ. 2553 โดยรู้สึกว่ามีติ่งเนื้อยื่นออกมาจากรูทวารหนัก มีเลือดออกขณะเบ่งถ่ายในบางครั้ง และรู้สึกปวดรอบรูทวารหนัก ซึ่งอาการนี้เป็น ๆ หาย ๆ มาตลอดระยะเวลา 7 ปี”


“ดิฉันพยายามดูแลตนเอง ด้วยการรับประทานยาสมุนไพร ปรับพฤติกรรมการขับถ่าย แต่ยังไม่หายขาด จึงหาข้อมูลการรักษาเพิ่มเติม แต่ที่ผ่านมาพบเพียงการผ่าตัดรักษาริดสีดวงทวารหนักด้วยวิธีการเดิม ๆ เลยยังไม่ตัดสินใจผ่าตัด เพราะกลัวความเจ็บ และเกรงว่าจะต้องพักฟื้นนาน เนื่องจากเป็นพนักงานประจำ ไม่สามารถหยุดพักงานได้นาน”
“จากการสืบค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ทำให้ดิฉันพบวิธีการรักษาริดสีดวงทวารหนักเทคนิคใหม่ เรียกว่า HAL-RAR ซึ่งมีอยู่ที่โรงพยาบาลเวชธานี ดิฉันจึงศึกษาข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคนี้ จนกระทั่งมั่นใจว่าเทคนิคดังกล่าว ‘เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว’ จึงตัดสินใจโทรมานัดหมายกับโรงพยาบาลเวชธานี เพื่อเข้ารับการตรวจและรักษาริดสีดวงทวารหนัก”
“หลังรักษาด้วยเทคนิค HAL-RAR ดิฉันรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งดีกว่าการทนเจ็บปวดจากโรคริดสีดวงทวารหนักค่อนข้างมาก ส่วนตอนนี้ไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ เลย ดิฉันรู้สึกตัดสินใจถูกที่เลือกรักษาด้วยวิธีการนี้ เพราะฟื้นตัวเร็วมาก หลังรักษา 5 วัน ก็สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ นอกจากการรักษาแล้ว ดิฉันยังประทับใจการบริการ รวมถึงเอกสารที่ได้รับหลังการรักษา ซึ่งเป็นเมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยริดสีดวงโดยเฉพาะ ดิฉันพกติดตัวในชีวิตประจำวันด้วย เพราะช่วยในการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมได้ดี ดิฉันเชื่อมั่นว่าเมื่อเราได้รับการรักษาที่ดีแล้ว และดูแลตัวเองตามที่แพทย์แนะนำ ก็จะช่วยให้อาการดีขึ้นอย่างยั่งยืนและเร็วมากด้วยเช่นกัน”
ด้าน นพ.ปิยะ โตเต็มโชคชัยการ ศัลยแพทย์ทั่วไป แพทย์ผู้ทำการรักษาผู้ป่วยรายดังกล่าว อธิบายเกี่ยวกับเทคนิคการรักษาด้วยวิธี HAL-RAR เพิ่มเติมว่า
“HAL-RAR มีชื่อเต็มว่า Hemorrhoidal Artery Ligation and Recto Anal Repair เป็นการรักษาริดสีดวงด้วยการนำคลื่นเสียงความถี่สูง (Doppler Ultrasound) เข้ามาช่วยตรวจหาตำแหน่งของเส้นเลือดแดง ที่มาเลี้ยงหัวริดสีดวงทวารหนัก แล้วทำการเย็บผูกรัดหลอดเลือดแดง เพื่อลดความดันเลือด ที่ไปขยายขนาดของหัวริดสีดวงทวารให้ลดลง ทำให้หัวริดสีดวงหดเล็กโดยไม่ตัดหัวริดสีดวง หรือเยื่อบุทวารหนักใด ๆ และสามารถรักษาด้วยการเย็บผูกรั้งดันเนื้อริดสีดวงกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้ โดยไม่ต้องตัดเนื้อเยื่อออก ซึ่งหัวริดสีดวงจะค่อย ๆ ลดขนาดลงภายใน 3-4 สัปดาห์ ข้อดีของการรักษาริดสีดวงทวารหนัก ด้วยเทคโนโลยี HAL-RAR นี้ ช่วยลดอัตราการบาดเจ็บ ลดความทรมาน ลดภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว กลับมาขับถ่ายอย่างสะดวกได้ตามปกติ”
“คุณโย เป็นริดสีดวงทวารหนักจากการตั้งครรภ์ ซึ่งริดสีดวงขณะตั้งครรภ์มักเกิดจากหัวเด็กกดทับหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดดำที่อยู่บริเวณอุ้งเชิงกราน เมื่อคลอดแล้วสามารถฝ่อลงได้ ส่วนใหญ่จึงไม่ผ่าตัดระหว่างตั้งครรภ์ แต่เมื่อคลอดบุตรแล้วควรตรวจดูอาการอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิจารณาว่าจำเป็นต้องผ่าตัดหรือไม่”
“สำหรับคุณโย มาด้วยโรคริดสีดวงทวารหนักระยะที่ 2 และมีแผลฉีกขาดที่ทวารหนัก จึงรักษาด้วยวิธี HAL-RAR เย็บผูกรัดหลอดเลือดด้วยไหมละลาย เพื่อลดความดันเลือด ที่ไปขยายขนาดของริดสีดวงทวารหนัก ทำให้หัวริดสีดวงฝ่อลง โดยไม่ต้องตัดหัวริดสีดวง จึงเจ็บน้อย มีผลข้างเคียงน้อย ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว สำหรับแผลฉีกที่ทวารหนัก ได้ผ่าตัดกล้ามเนื้อหูรูดบางส่วนออก ผลการผ่าตัดทั้งหมดเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งขณะนี้ผู้ป่วยไม่มีก้อนเนื้อริดสีดวง และแผลทวารหนักหายดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ริดสีดวงทวารหนักถือเป็นโรคใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด จึงควรหมั่นสังเกตตนเองว่า มีเลือดออกขณะขับถ่ายหรือมีติ่งเนื้อหรือไม่ หากพบความผิดปกติควรรีบพบแพทย์ เพื่อตรวจดูก้อนเนื้อว่าเป็นหัวริดสีดวงหรือเป็นโรคร้ายอื่น ๆ เช่น มะเร็ง เป็นต้น หากพบว่าเป็นริดสีดวง แพทย์จะได้มอบการรักษาอย่างเหมาะสมตามระยะที่เป็น เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องทรมานกับอาการเจ็บปวดอีกต่อไป”
อ่านรายละเอียดเพิ่ม : https://bit.ly/2RI8bBh