อย่าปล่อยผ่าน! “ตาขี้เกียจในเด็ก” ภัยเงียบที่อาจทำให้มองไม่ชัดไปตลอดชีวิต
ภาวะตาขี้เกียจในเด็ก (Amblyopia หรือ Lazy eye) หากไม่ตรวจตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจส่งผลให้การมองเห็นไม่ชัดไปตลอดชีวิต อ่านวิธีสังเกต สาเหตุ และแนวทางรักษาได้ที่นี่
“ดวงตา” เป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญและซับซ้อนที่สุดของร่างกาย มีหน้าที่ช่วยรับภาพ รับแสง และทำงานร่วมกับระบบประสาทส่วนท้ายทอยทำให้เกิดการมองเห็น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสที่มีความสำคัญต่อมนุษย์เราเป็นอย่างยิ่ง ปัญหาของการมองเห็น ไม่ว่าจะเป็นอาการพร่ามัว สู้แสงไม่ได้ มองเห็นภาพซ้อน ค่าสายตาเปลี่ยน อาจเป็นภาวะของ “โรคต้อกระจก” เราจึงควรให้ความสำคัญกับดวงตา และรับการรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

โดยทั่วไปแล้วโรคต้อกระจก เกิดจากความเสื่อมและขุ่นตัวของเลนส์แก้วตาตามอายุ ส่วนใหญ่มักพบในผู้มีอายุ 55 ปีขึ้นไป แต่บางรายอาจพบได้เร็วกว่านั้น สำหรับปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคต้อกระจก มีดังนี้
ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำให้มีเครื่องมือสลายเลนส์ต้อกระจก และสามารถรักษาด้วยการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimal Invasive Surgery) ซึ่งขนาดแผลที่เล็กลงนี้มีข้อดีหลายประการ อาทิ ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดภาวะแทรกซ้อน มีความปลอดภัยสูง โดยหลังจากแพทย์ทำการสลายเลนส์ต้อกระจกแล้ว แพทย์จะใส่เลนส์แก้วตาเทียมให้กับผู้ป่วยโดยเลือกเลนส์ที่เหมาะสมกับสายตา เลนส์แก้วตาเทียม แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่
สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาสายตาเอียงค่อนข้างเยอะจะมีเลนส์ชนิดพิเศษ คือ เลนส์สายตาเอียง (Toric IOL) ทั้งแบบโฟกัสระยะเดียว และแบบโฟกัสได้หลายระยะ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้การมองเห็นของผู้ป่วยดียิ่งขึ้น
หลังจากรักษาด้วยการผ่าตัดแล้ว แผลที่กระจกตาจะหายได้ดีและแข็งแรงภายใน 1 เดือน ดังนั้น ภายใน 1 เดือนแรกผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องระมัดระวังไม่ให้น้ำ ฝุ่น ควัน เข้าดวงตา โดยควรสวมใส่แว่นตากันแดดป้องกัน และปิดที่ครอบตาก่อนนอนเพื่อป้องกันการขยี้ตา นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงการก้มหน้า การยกของหนัก และการแบ่งแรงที่เพิ่มความดันแก่ลูกตา นอกจากนี้ ให้หมั่นหยอดตา เช็ตตา และดูแลรอบดวงตาตามที่แพทย์แนะนำ