ต่อมลูกหมากโต รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด?

บทความสุขภาพ

Q: โรคต่อมลูกหมากโตคืออะไร?

A: โรคต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia – BPH) คือภาวะที่ต่อมลูกหมากของผู้ชายมีขนาดใหญ่ผิดปกติ ต่อมลูกหมากอยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะและล้อมรอบท่อปัสสาวะ เมื่อโตขึ้นจะกดทับท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดปัญหาการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะขัด ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือปัสสาวะบ่อย แม้โรคนี้ไม่ใช่มะเร็งและไม่พัฒนาเป็นมะเร็ง แต่สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้มาก

Q: โรคต่อมลูกหมากโตเกิดจากสาเหตุใด?

A: สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ชัดเจน แต่ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อายุที่มากขึ้น (โดยเฉพาะเกิน 50 ปี) รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งสถิติพบว่า ผู้ชายอายุ 60 ปีมีโอกาสเป็นโรคนี้กว่า 50% และในวัย 70 ปีขึ้นไปพบสูงถึง 80%

Q: อาการของโรคต่อมลูกหมากโตมีอะไรบ้าง?

A: อาการแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

  • อาการเกี่ยวกับการเก็บปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อย ปวดปัสสาวะทันที ต้องตื่นกลางดึกเพื่อปัสสาวะ
  • อาการเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ เช่นปัสสาวะขัด ปัสสาวะสะดุด ปัสสาวะหยดหรือปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะไม่สุด หรือปัสสาวะไม่ออกเลย

หากปล่อยไว้นานอาจเกิด การติดเชื้อ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือภาวะไตเสื่อม

Q: การวินิจฉัยโรคต่อมลูกหมากโตทำอย่างไร?

A: แพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจร่างกายร่วมกับการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด (PSA: Prostate-Specific Antigen) ตรวจคลื่นเสียงผ่านทวารหนัก (TRUS) ตรวจอัตราการไหลของปัสสาวะ (Uroflowmetry) และตรวจปริมาณปัสสาวะคงค้างหลังถ่าย

Q: การรักษาต่อมลูกหมากโตมีกี่วิธี?

A: มีหลายแนวทาง ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ ได้แก่

  • การปรับพฤติกรรม เช่น ลดการดื่มน้ำก่อนนอน หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และลดความเครียด
  • การใช้ยา โดยมียาที่ใช้หลัก ๆ 2 กลุ่ม คือ ยาคลายกล้ามเนื้อรอบท่อปัสสาวะ (α-blocker) และยาลดขนาดต่อมลูกหมาก (5-ARI) แต่มีข้อควรระวังอาจต้องใช้ยาต่อเนื่องและมีผลข้างเคียง เช่น ความดันต่ำ อ่อนเพลีย หรือการหลั่งผิดปกติ
  • การผ่าตัด มักใช้ในกรณีต่อมลูกหมากโตมากหรือยาไม่สามารถควบคุมอาการได้ การผ่าตัดที่ใช้บ่อยคือการผ่าตัดส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะเพื่อตัดชิ้นเนื้อของต่อมลูกหมากออก แม้ได้ผลดี แต่มีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ ภาวะแทรกซ้อน รวมถึงอาจมีผลต่อการหลั่งน้ำอสุจิหรือสมรรถภาพทางเพศ

Q: มีวิธีรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัดหรือไม่?

A: ปัจจุบันมีเทคนิคใหม่ที่เรียกว่า PAE (Prostatic Artery Embolization) เป็นหัตถการทางรังสีร่วมรักษา โดยแพทย์จะสอดสายสวนผ่านหลอดเลือดที่ขาหนีบหรือข้อมือ แล้วฉีดสารอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงต่อมลูกหมาก ส่งผลให้ต่อมลูกหมากค่อย ๆ หดตัวลงโดยต่อมลูกหมากจะเริ่มหดตัวภายใน 1–3 เดือนอาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการปัสสาวะจะดีขึ้นอย่างชัดเจนใน 5–6 เดือน โดยพบว่าผู้ป่วยกว่า 75–80% ปัสสาวะคล่องขึ้น ลดการปัสสาวะบ่อยและปวดขัด

Q: ข้อดีของการรักษาด้วย PAE คืออะไร?

A: ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ไม่มีแผล ฟื้นตัวเร็ว สมรรถภาพทางเพศได้รับผลกระทบน้อย กลับบ้านได้ภายในวันเดียว

Q: เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์?

A: หากเริ่มมีอาการปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะขัด บ่อยเกินไป หรือปัสสาวะไม่สุด ควรเข้ารับการตรวจประเมินโดยแพทย์ เพื่อพิจารณาวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

ศูนย์โรคทางเดินปัสสาวะ และศูนย์สุขภาพเพศชาย โรงพยาบาลเวชธานีอินเตอร์เนชั่นแนล
โทร  02-734-0000

Medically Reviewed by

นพ. อรรถวัฒน์ อังสุพันธุ์โกศล
นพ. อรรถวัฒน์ อังสุพันธุ์โกศล

ศัลยศาสตร์

ศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ

Readers’ Rating

1.5 out of 5 stars (based on 4 reviews)