

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ประเทศไทยมักพบการระบาดของโรคไข้เลือดออกมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกชุก เนื่องจาก ยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะของโรค มีแหล่งเพาะพันธุ์เพิ่มขึ้นในน้ำขังตามภาชนะต่างๆ เช่น โอ่งน้ำ ถ้วยรองขาตู้ กระถาง ยางรถ พบมากในเขตเมือง เช่น กรุงเทพมหานคร ที่พบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
โรคไข้เลือดออก เกิดจากอะไร?
ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เกิดจากยุงลายตัวเมียไปกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสเดงกีที่มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ จากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าไปฟักตัวและอาศัยอยู่ในตัวยุงลายตลอดอายุขัยของมันหรือประมาณ 1 – 2 เดือน และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกกัดได้โดยมักจะกัดในเวลากลางวันมากกว่ากลางคืน
อาการไข้เลือดออกส่วนใหญ่ไม่รุนแรง หากติดเชื้อครั้งแรก
การติดเชื้อครั้งแรกผู้ป่วยร้อยละ 80 – 90 จะไม่แสดงอาการ แต่ผู้ที่แสดงอาการจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อและกระดูก มีผื่นที่ผิวหนัง ส่วนผู้ป่วยที่ติดเชื้อครั้งที่สองด้วยเชื้อต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาจแสดงอาการที่รุนแรงขึ้น


อาการของโรคไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่:
- ระยะแรก:ใช้เวลาประมาณ 2 – 7 วัน
- ไข้สูง 39–40องศา
- มีผื่นหรือจุดสีแดงบริเวณลำตัว แขน ขา
- เบื่ออาหาร อาเจียน หน้าแดง
- อาจมีอาการชักในเด็กเล็ก
- ระยะสอง:ใช้เวลา 24 – 48 ชั่วโมง
- ไข้เริ่มลด แต่มีอาการซึม มือเท้าเย็น
- ปัสสาวะน้อย
- มีเลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดา อาเจียนเป็นเลือด
- รายที่รุนแรงจะมีความดันโลหิตต่ำ ช็อกและอาจเสียชีวิตได้
- ระยะสาม:
- อาการต่างๆ เริ่มดีขึ้นหากได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
การรักษาโรคไข้เลือดออก
เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสเดงกี การรักษาตามอาการจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยในช่วงที่มีไข้สูงแพทย์จะให้ยาลดไข้ที่ไม่ใช่ยากลุ่มแอสไพรินเพราะยากลุ่มนี้จะทำให้เลือดออกรุนแรงขึ้น ให้ยาแก้คลื่นไส้ ตรวจเกล็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือด พร้อมกับให้สารน้ำชดเชยในรายที่ขาดน้ำมากๆ และคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะช็อก โดยก่อนช็อก ไข้จะลดลง และอาจมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่ายหรือซึมลง มือเท้าเย็น หน้ามืด เป็นลม ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที แต่จริงๆ แล้วหากมีไข้สูงต่อเนื่อง 2 – 3 วัน หรือมีตุ่มแดงขึ้นตามตัวก็ควรมาพบแพทย์ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาการรุนแรงขึ้นได้
วัคซีนไข้เลือดออก “Qdenga” ป้องกันได้ครอบคลุม
ปัจจุบันมีวัคซีน Qdenga ที่สามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ โดยมีประสิทธิภาพดังนี้:
- ป้องกันการติดเชื้อได้ถึง 80.2%
- ลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ถึง 90.4%
- ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไป โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน
- ฉีดได้ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออก โดยไม่ต้องตรวจภูมิก่อน
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้
- ปวดบริเวณที่ฉีด
- อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำ
- ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ
- อาการคล้ายไข้หวัด
ข้อควรระวังในการฉีดวัคซีน
- ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของวัคซีน
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือได้รับยากดภูมิ
- หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
การป้องกันไข้เลือดออกในชีวิตประจำวัน
นอกจากการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออกแล้วยังควรป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด ดังนี้:
- ทายากันยุง จุดยากันยุง หรือใช้สเปรย์ไล่ยุง
- ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ปิดฝาภาชนะน้ำ, เทน้ำขัง
- จัดบ้านให้โปร่งโล่งไม่อับชื้น
- หากพบผู้ป่วยในบ้านหรือชุมชน ควรพ่นยาฆ่ายุงลายเพื่อป้องกันไม่ให้ไปกัดคนอื่นต่อไป
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลเวชธานี
โทร 02-734-0000
- Readers Rating
- Rated 5 stars
5 / 5 (Reviewers) - Spectacular
- Your Rating