ต่อมลูกหมากโต โรคฮิตของผู้ชายวัยเกษียณ รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

บทความสุขภาพ

ในช่วงวัยกลางคนจนถึงวัยสูงอายุ ผู้ชายจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับปัญหาการปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือแม้กระทั่งต้องลุกเข้าห้องน้ำบ่อยในตอนกลางคืน อาการเหล่านี้อาจดูเหมือนไม่รุนแรงในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว และหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อยคือ “โรคต่อมลูกหมากโต”

โรคต่อมลูกหมากโตคืออะไร?

โรคต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia – BPH) เป็นภาวะที่ต่อมลูกหมากของผู้ชายมีขนาดใหญ่ขึ้นผิดปกติ ซึ่งต่อมลูกหมากจะอยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะและล้อมรอบท่อปัสสาวะ เมื่อขยายใหญ่ขึ้น จะกดทับท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดปัญหาในการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะขัด ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือปัสสาวะบ่อย โดยโรคนี้ ไม่ใช่มะเร็งและไม่พัฒนาเป็นมะเร็ง แต่สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้มาก

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดโรค ได้แก่

  • อายุ: ผู้ชายอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงสูง โดยพบมากกว่า 50% ในผู้ชายอายุ 60 ปี และมากถึง 80% ในช่วงอายุ 70 ปีขึ้นไป
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศชาย ที่เกิดขึ้นตามวัย

อาการของต่อมลูกหมากโต

อาการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ อาการที่เกี่ยวกับการเก็บปัสสาวะ และอาการที่เกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ

1. อาการเกี่ยวกับการเก็บปัสสาวะ เช่น 

  • ปัสสาวะบ่อย
  • ปวดปัสสาวะทันทีทันใด
  • ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน

2. อาการเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น

  • ปัสสาวะขัด ปัสสาวะสะดุด
  • ปัสสาวะหยดหรือปัสสาวะเป็นเลือด
  • ปัสสาวะไม่สุด หรือไม่สามารถปัสสาวะได้เลย

หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือภาวะไตเสื่อม ได้

การวินิจฉัยโรค

แพทย์จะตรวจสอบโดยใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น

  • การซักประวัติและตรวจร่างกาย
  • ตรวจปัสสาวะ
  • ตรวจเลือดเพื่อหาค่า PSA (Prostate-Specific Antigen)
  • ตรวจคลื่นเสียงผ่านทางทวารหนัก (TRUS)
  • ตรวจอัตราการไหลของปัสสาวะ (Uroflowmetry)
  • ตรวจปริมาณปัสสาวะคงค้างหลังการถ่าย

วิธีการรักษาโรคต่อมลูกหมากโต

แนวทางการรักษาโรคต่อมลูกหมากโต จะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ และผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ดังนี้

1. รักษาโดยการปรับพฤติกรรม สำหรับผู้ที่อาการไม่รุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้

  • ลดการดื่มน้ำก่อนนอน
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
  • จัดการความเครียด

2. รักษาโดยการรับประทานยา มียาหลัก ๆ 2 กลุ่ม ได้แก่

  • ยากลุ่มที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบท่อปัสสาวะ (α-blocker)
  • ยากลุ่มที่ช่วยลดขนาดต่อมลูกหมาก (5-ARI)

ทั้งนี้ยามีประสิทธิภาพดีในหลายกรณี แต่ต้องใช้ต่อเนื่องและอาจมีผลข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตต่ำ อ่อนเพลีย หรือภาวะหลั่งน้ำอสุจิผิดปกติ

3. การผ่าตัด

ในกรณีที่ยาไม่ได้ผล หรือขนาดต่อมลูกหมากใหญ่จนปัสสาวะลำบาก แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะเพื่อตัดชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากออก แม้จะได้ผลดี แต่มีข้อเสียที่ต้องคำนึงถึง เช่น ความเสี่ยงจากการดมยาสลบ ความเสี่ยงจากการติดเชื้อ และผลข้างเคียงด้านสมรรถภาพทางเพศซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการหลั่งน้ำอสุจิในบางราย

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด: เทคนิค PAE (Prostatic Artery Embolization)

หนึ่งในวิธีที่ทันสมัยและปลอดภัย คือ การรักษาด้วยเทคนิค PAE ซึ่งเป็นหัตถการทางรังสีร่วมรักษา โดยแพทย์จะสอดสายสวนขนาดเล็กผ่านหลอดเลือดที่ขาหนีบหรือข้อมือ ฉีดสารอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงต่อมลูกหมาก ทำให้ต่อมลูกหมากค่อย ๆ หดตัวลงภายใน 1–3 เดือน และอาการดีขึ้นชัดเจนในช่วง 5–6 เดือนหลังทำ

ข้อดีของการรักษาด้วยวิธี PAE

  • ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่
  • ไม่มีแผล ฟื้นตัวเร็ว
  • ผลกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศน้อย
  • กลับบ้านได้ภายในวันเดียว
  • ผู้ป่วยกว่า 75–80% มีอาการดีขึ้น เช่น ปัสสาวะคล่องขึ้น ลดอาการปัสสาวะบ่อยและปวดขัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ว่าโรคต่อมลูกหมากโตจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากละเลยอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ดังนั้น หากเริ่มมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการปัสสาวะ การเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจและรับการรักษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

ศูนย์โรคทางเดินปัสสาวะ และศูนย์สุขภาพเพศชาย   โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล
โทร 02-734-0000

Medically Reviewed by

นพ. อรรถวัฒน์ อังสุพันธุ์โกศล
นพ. อรรถวัฒน์ อังสุพันธุ์โกศล

ศัลยศาสตร์

ศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ

Readers’ Rating

0.0 out of 5 stars (based on 0 reviews)