ดื่มน้ำหวานบ่อยเพิ่มความเสี่ยง นิ่วในไต

บทความสุขภาพ
Featured Image

ในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่าพฤติกรรมง่าย ๆ เช่น การดื่มน้ำน้อย หรือ การดื่มเครื่องดื่มรสหวานแทนน้ำเปล่า เช่น ชานม กาแฟหวาน น้ำอัดลม อาจเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่นำไปสู่โรค นิ่วในไต ได้

แม้โรคนิ่วในไตจะไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ไตเสื่อม และไตวายในระยะยาว

ทำไมน้ำหวานจึงเพิ่มความเสี่ยงนิ่วในไต

เครื่องดื่มรสหวานส่วนใหญ่มักมี น้ำตาลฟรุกโตส (Fructose) ในปริมาณสูง ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น และเพิ่มการขับแคลเซียมหรือกรดยูริกออกทางปัสสาวะมากกว่าปกติ

เมื่อร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ปัสสาวะจะมีความเข้มข้นสูง แร่ธาตุที่ถูกขับออกมาจะตกผลึกง่ายขึ้น และสะสมจนกลายเป็นก้อนนิ่วในไตหรือทางเดินปัสสาวะ

อาการปวดท้อง ปวดเอว อาจเป็นสัญญาณนิ่วในไต

ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าอาการปวดท้องหรือปวดเอวเกิดจากกล้ามเนื้อหรือระบบทางเดินอาหาร แต่ในความเป็นจริง นิ่วในไต มักทำให้เกิดอาการ เช่น

  • ปวดเอวหรือปวดหลังเป็นพัก ๆ
  • ปวดร้าวลงท้องน้อยหรือขาหนีบ
  • ปัสสาวะแสบขัด หรือมีเลือดปน
  • มีไข้ หนาวสั่น หากมีการติดเชื้อร่วมด้วย

หากนิ่วอุดตันทางเดินปัสสาวะเป็นเวลานาน อาจทำให้การทำงานของไตลดลงและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

พฤติกรรมเสี่ยงเกิดนิ่วในไต

  • ผู้ที่ดื่มน้ำเปล่าน้อยกว่า 1–1.5 ลิตรต่อวัน
  • ผู้ที่ดื่มชานม น้ำหวาน หรือเครื่องดื่มรสหวานเป็นประจำ
  • ผู้ที่รับประทานอาหารโซเดียมสูงหรืออาหารแปรรูปเป็นประจำ

นิ่วในไตเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายดีได้ โดยมีการรักษาดังนี้ 

  • การกินยาคลายท่อไตทำให้นิ่วตกลงมาได้ง่ายขึ้น หรือยาช่วยละลายนิ่ว ซึ่งวิธีนี้สามารถใช้ได้กับนิ่วที่อยู่บริเวณท่อไตส่วนปลายที่มีขนาดเล็กมากกว่า 5 มิลลิเมตร
  • การสลายนิ่ว (Extracorporeal shock wave lithotripsy:ESWL) เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะกับนิ่วในไตขนาดเล็กกว่า 1 เซนติเมตร และนิ่วมีความแข็งไม่มาก โดยมักมีข้อจำกัดหลายอย่างในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมาก, ตั้งครรภ์ และนิ่วที่อยู่ด้านล่างของไต(lower pole stones) 
  •  การผ่าตัดรักษานิ่วในไตผ่านรูที่ผิวหนัง (Percutaneous nephrolithotomy:PCNL) เป็นวิธีการรักษาที่เหมาะกับนิ่วขนาดกลางถึงใหญ่ ต้องอาศัยศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญและเครื่องมือเฉพาะสำหรับการกรอนิ่วผ่านการเจาะรูที่ผิวหนัง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการเสียเลือดมากอยู่
  • การผ่าตัดเปิดเพื่อรักษานิ่ว วิธีนี้ได้รับความนิยมน้อยลงในปัจจุบัน เพราะต้องมีบาดแผลขนาดใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียเลือดมาก และอาจทำให้การทำงานของไตลดลงได้หลังการผ่าตัด
  • ปัจจุบันมีวิธีการรักษา นิ่วในไต โดยไม่ต้องผ่าตัด คือการส่องกล้องสลายนิ่วโดยใช้เลเซอร์ผ่านทางท่อไต (RIRS)” เป็นเทคนิคใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม ที่สามารถรักษานิ่วในไตได้ดีทุกขนาด ซึ่งวิธีนี้ทำให้ผู้ป่วยไม่มีบาดแผล เสียเลือดน้อย ใช้ระยะเวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลสั้น และสามารถนำนิ่วมาวิเคราะห์หาชนิดของนิ่ว เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วในอนาคตได้ 

วิธีลดความเสี่ยงนิ่วในไต

การป้องกันนิ่วในไตสามารถทำได้ด้วยการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น

  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 2–2.5 ลิตรต่อวัน
  • ลดการดื่มเครื่องดื่มรสหวานและน้ำอัดลม
  • หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะ
  • ตรวจสุขภาพระบบทางเดินปัสสาวะเมื่อมีอาการผิดปกติ

หากมีอาการปวดเอว ปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือสงสัยว่าอาจเป็นนิ่วในไต ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างเหมาะสม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคนิ่วในไต

ดื่มน้ำหวาน ชานม เสี่ยงนิ่วในไตหรือไม่?

เสี่ยง เครื่องดื่มรสหวานมักมีน้ำตาลฟรุกโตสสูง ซึ่งกระตุ้นให้ไตทำงานหนัก เพิ่มการขับแคลเซียมและกรดยูริกออกทางปัสสาวะ ส่งผลให้เกิดการตกผลึกและนิ่วในไตได้ง่ายขึ้น

นิ่วในไตอันตรายไหม?

นิ่วในไตอาจไม่อันตรายในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ไตเสื่อม และไตวายได้

นิ่วในไตรักษาหายได้หรือไม่?

นิ่วในไตสามารถรักษาให้หายได้ ปัจจุบันมีหลายวิธีตั้งแต่การใช้ยา การสลายนิ่ว ไปจนถึงการส่องกล้องเลเซอร์โดยไม่ต้องผ่าตัด ทั้งนี้แพทย์จะเลือกวิธีรักษาตามขนาด ชนิด และตำแหน่งของนิ่ว

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

ศูนย์โรคทางเดินปัสสาวะ และศูนย์สุขภาพเพศชาย
โรงพยาบาลเวชธานี อินเตอร์เนชั่นแนล
โทร 02-734-0000

Medically Reviewed by

นพ. อรรถวัฒน์ อังสุพันธุ์โกศล
นพ. อรรถวัฒน์ อังสุพันธุ์โกศล

ศัลยศาสตร์

ศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ

Readers’ Rating

0.0 out of 5 stars (based on 0 reviews)