วิดีโอสุขภาพ Archives - โรงพยาบาลเวชธานี

ผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแบบเปิดที่มีบาดแผลขนาดใหญ่และต้องพักฟื้นเป็นเวลานานอีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีทางเลือกใหม่ด้วยการ ผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Minimally Invasive Surgery, MIS) ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมขั้นสูงที่ช่วยลดความเจ็บปวดและทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

นายแพทย์ชวกร เหลี่ยมไพรบูรณ์ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่า โรคลิ้นหัวใจเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากโรคนี้มักเกิดจากการเสื่อมสภาพของลิ้นหัวใจเมื่ออายุมากขึ้น รวมถึงสาเหตุอื่นๆ เช่น โรคหัวใจรูมาติก โรคติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ หรือภาวะลิ้นหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด โดยโรคลิ้นหัวใจสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  1. ลิ้นหัวใจตีบ: เกิดจากการที่ลิ้นหัวใจหนาหรือแข็งตัวเกินไป ทำให้เปิดได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เลือดไหลผ่านได้ยากขึ้น
  2. ลิ้นหัวใจรั่ว: เกิดจากลิ้นหัวใจปิดไม่สนิท ทำให้เลือดไหลย้อนกลับไปยังห้องหัวใจที่เพิ่งถูกปั๊มเลือดออกกมา

การผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจเป็นการรักษาที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยที่ลิ้นหัวใจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งการผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจสามารถทำได้ 2 วิธี ได้แก่ การผ่าตัดแบบเปิด (Open Surgery) เป็นวิธีการผ่าตัดมาตรฐานที่ถูกใช้มาอย่างยาวนาน แต่เนื่องจากขั้นตอนการผ่าตัดที่จำเป็นต้องกรีดแผลยาวบริเวณกลางอกและผ่าตัดแยกกระดูกกลางหน้าอกออก ทำให้ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ต้องพักฟื้นนาน และมีอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดค่อนข้างมาก

อีกวิธีการที่ได้รับความนิยมแต่สามารถลดข้อจำกัดดังกล่าวได้ คือการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Minimally Invasive Surgery, MIS) แพทย์จะใช้เครื่องมือผ่าตัดที่ออกแบบยาวกว่าปกติ และผ่าตัดผ่านช่องซี่โครงทางด้านขวา จากนั้นใช้กล้องวีดิทัศน์สอดผ่านรูเล็กๆ เพื่อขยายภาพ ทำให้มองเห็นภาพที่มีความชัดลึกด้วยระบบ 3 มิติ และใส่สายเครื่องปอดและหัวใจเทียมผ่านบริเวณขาหนีบไปที่เส้นเลือด เพื่อช่วยพยุงการทำงานของปอดและหัวใจใ ศัลยแพทย์จึงสามารถหยุดการเต้นของหัวใจชั่วคราวและเข้าไปซ่อมแซมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจได้โดยปลอดภัย

การผ่าตัดหัวใจด้วยเทคนิคส่องกล้อง มีความปลอดภัยเทียบเท่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม แต่ช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บตัวน้อยลง ฟื้นตัวไวขึ้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน และทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดอัตราการครองเตียงในหอผู้ป่วยวิกฤต ลดจำนวนวันนอนโรงพยาบาล และที่สำคัญยังเพิ่มความสำเร็จของการผ่าตัดในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุที่มีหลายโรคร่วมและความเสี่ยงสูงได้

“เราสามารถลดระยะเวลาการฟื้นตัวเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์ ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและลดการสูญเสียเลือดได้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นประโยชน์ที่ดีต่อผู้ป่วย โดยเฉพาะในยุคนี้ที่การฟื้นตัวเร็วถือเป็นสิ่งสำคัญ” นายแพทย์ชวกรกล่าว

อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดหัวใจคนส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยง จึงกังวลและไม่กล้าเข้ารับการรักษา แต่ด้วยเทคโนโลยีและความชำนาญของศัลยแพทย์ทำให้การผ่าตัดหัวใจไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป และที่สำคัญยิ่งเข้ารับการผ่าตัดเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้การรักษาไม่ซับซ้อน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-734-0000 ต่อ 5300

ผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจเทคนิค MIS แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวไว

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นภาวะที่หลอดเลือดหัวใจเกิดการตีบแคบหรืออุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ ซึ่งหากหลอดเลือดมีการตีบตันหลายตำแหน่งหรือหลายเส้น แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ ปัจจุบันมีเทคนิคที่เรียกว่าการผ่าตัดบายพาสหัวใจด้วยเทคนิค “โดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม” (Off-Pump CABG) ทำให้ลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมาจากการใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม ลดอัตราการเสียเลือดลดลง ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น

นายแพทย์ชวกร เหลี่ยมไพรบูรณ์ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายว่า โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คือการที่หลอดเลือดหัวใจมีการตีบหรือตันเลือดจึงไม่สามารถไหลผ่านได้สะดวก ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลง ซึ่งการตีบหรือตันเกิดจากการที่มีไขมันหรือหินปูนเกาะในหลอดเลือด โดยมีปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวข้องกับโรคประจำตัว เช่น โรคไขมันในหลอดเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น สูบบุหรี่

ทั้งนี้ เมื่อเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ จะก่อให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หากเป็นมากขึ้นอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันได้ เพราะฉะนั้นหากเริ่มมีอาการที่รบกวนชีวิตประจำวัน ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีหลายวิธี ตั้งแต่การรับประทานยา, การทำบอลลูนหัวใจเพื่อขยายหลอดเลือด, ในกรณีที่หลอดเลือดหัวใจมีการตีบตันหลายตำแหน่งหรือหลายเส้น แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ เป็นการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจเพื่อให้เลือดได้ไหลผ่านแทนหลอดเลือดเดิมที่ตีบตัน

การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจวิธีที่ทำกันมานาน และยังทำเป็นมาตรฐานอยู่ เป็นการผ่าตัดโดยใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (On-Pump CABG) ร่วมกับทำให้หัวใจหยุดเต้น แพทย์จะสามารถผ่าตัดได้อย่างสะดวก แต่จากการศึกษาพบว่าเครื่องปอดและหัวใจเทียมอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะอักเสบในร่างกาย อาจทำให้การฟื้นตัวและการทำงานของหัวใจลดลง อีกทั้งยังส่งผลต่อเกล็ดเลือดและการแข็งตัวของเลือด อาจทำให้เลือดออกมากผิดปกติหลังผ่าตัดได้

ในปัจจุบันมีเทคนิคการผ่าตัดที่เรียกว่า การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ใช่เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump CABG) เป็นวิธีผ่าตัดที่หัวใจไม่หยุดเต้นในระหว่างการผ่าตัด โดยแพทย์จะนำเครื่องมือเข้ามาเกาะยึดหัวใจให้หยุดนิ่งในตำแหน่งที่จะทำการผ่าตัด โดยที่หัวใจยังเต้นอยู่ สามารถผ่าตัดได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม

การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม มีข้อดีหลายประการ ดังนี้

ลดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม เสียเลือดน้อยกว่า ลดอัตราการเติมเลือดในขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัด ลดระยะเวลาการผ่าตัดและดมยาสลบสั้นลง ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว ระยะพักฟื้นในโรงพยาบาลสั้นลง ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจด้วยเทคนิคไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม เป็นทางเลือกการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย แต่จำเป็นต้องรักษาโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการใช้เทคนิคนี้ จึงจะช่วยให้การผ่าตัดรวดเร็ว เกิดประโยชน์สูงสุด และปลอดภัยกับตัวผู้ป่วยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังการรักษา

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

ศูนย์หัวใจ  โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-734-0000 ต่อ 5300

ผ่าตัดบายพาสหัวใจด้วยเทคนิค Off-Pump CABG เสียเลือดน้อย ฟื้นตัวไว

หลอดเลือดหัวใจตีบหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มักเกิดในผู้ชายที่อายุมากกว่า 55 ปี ผู้หญิงอายุมากกว่า 65 ปี หรือคนที่เป็นโรคอ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมัน สูบบุหรี่เป็นประจำ ขาดการออกกำลังกาย ตลอดจนคนที่มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ล้วนแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรค ซึ่งโรคนี้มักไม่แสดงอาการตั้งแต่ระยะแรก

แต่ถ้า ! ผู้ป่วยเริ่มมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกหรือเจ็บจุกเหมือนมีอะไรกดทับที่หน้าอก เหนื่อยง่าย หายใจไม่สุด เวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม หมดสติหรืออาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจหยุดเต้น นั้นแปลว่าหลอดเลือดมีภาวะตีบมากกว่าร้อยละ 50 แล้ว ดังนั้น การตรวจหาความผิดปกติหรือการตรวจเช็กการทำงานของหลอดเลือดหัวใจในกลุ่มคนที่มีปัจจัยเสี่ยง จะค้นพบโรคได้ตั้งแต่ระยะแรกและทำให้การรักษาไม่ยุ่งยากหรือซับซ้อน

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลเวชธานี
โทร. 02-734-0000 ต่อ 5300

เจ็บหน้าอก ระวัง! หลอดเลือดหัวใจตีบ อันตรายถึงตาย!
33