“PM2.5 ทำพิษ! อากาศที่คุณหายใจทุกวัน อาจกำลังทำไซนัสอักเสบแบบเงียบๆ”
PM2.5 ละอองจิ๋วที่กระตุ้นอาการคัดจมูกเรื้อรัง และเสี่ยงไซนัสอักเสบ ดูวิธีป้องกันและแนวทางรักษา
หลายต่อหลายคนมักสับสน ระหว่าง “ยาแก้อักเสบ” กับ “ยาปฏิชีวนะ” ว่าใช่ยาชนิดเดียวกันหรือไม่ และฆ่าเชื้ออะไรได้บ้าง ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารด้านยา โรงพยาบาลเวชธานี จะพามาไขคำตอบนี้กันค่ะ
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics หรือ Antibacterial) หมายถึง สารเคมีที่ได้จากเชื้อจุลชีพชนิดหนึ่งตามธรรมชาติ หรือ จากการสังเคราะห์ ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ส่วนการติดเชื้อชนิดอื่น เช่น ไวรัส เชื้อรา ไม่สามารถใช้ยาปฏิชีวนะรักษาได้
ยาแก้อักเสบ หรือ ยาต้านการอักเสบ (Anti-Inflammatory Drugs) หมายถึง ยาที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ได้แก่ อาการปวด อาการบวมแดง และไข้ โดยไม่มีฤทธิ์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าเชื้อจุลชีพ เช่น ยาไอบูโพรเฟ่น ยาไดโครฟีแนค และยาแอสไพริน เป็นต้น
จากข้อมูลข้างต้น บ่งชี้ได้ว่า ยาปฏิชีวนะ ต้องใช้กับโรคที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยในประเทศไทย ได้แก่
3 ข้อสำคัญ ในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกวิธี : เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาโรค สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุด คือการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกวิธี โดยต้องยึดหลัก 3 ประการนี้ในการใช้ยา
แบคทีเรีย เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถพัฒนาตัวเอง เพื่อป้องกันการถูกทำลายจากยาปฏิชีวนะ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผนังเซลล์ให้หนาขึ้น สร้างตัวปั๊มเพื่อปั๊มยาออกจากเซลล์ หรือสร้างตัวรับยาหลอก ๆ ให้ยาไม่สามารถออกฤทธิ์ต่อเซลล์ได้
ดังนั้น หากรับประทานยาปฏิชีวนะไม่ต่อเนื่อง ผิดขนาด หรือใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ อาจทำให้ปริมาณยาไม่เพียงพอที่จะฆ่าเชื้อให้ตายได้ แต่พอที่จะกระตุ้นให้เชื้อพัฒนาตัวเอง และดื้อยาในที่สุด ซึ่งในวงการสาธารสุข ทั้งในประเทศไทย และองค์การอนามัยโลก (WHO) ต่างให้ความตระหนักถึงเรื่องนี้ เพราะการเกิดเชื้อดื้อยาถือเป็นปัญหาระดับโลก และหากยังใช้ยาปฏิชีวนะผิดวิธี ในอนาคตอาจเกิดปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อต่อยาทุกชนิด และไม่สามารถรักษาได้
โดยปกติแล้วเชื้อที่ก่อโรคติดเชื้อทางเดินหายใจกว่า 80% มักเป็นเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไข้ ดังนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะในการติดเชื้อไวรัส จะไม่เกิดประโยชน์ในการรักษาโรค นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยา และเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา เช่น ท้องเสีย เนื่องจากยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกาย ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำทำให้ติดเชื้อได้ง่าย แพ้ยา เป็นต้น
ดังนั้น ก่อนรับประทานยาปฏิชีวนะ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยแยกโรคติดเชื้อที่ถูกต้อง หรือปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเอง
ดังนั้น หากเกิดอาการเจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล มีไข้ต่ำ ๆ จึงสันนิฐานได้ว่าเกิดจากเชื้อไวรัส การดูแลตัวเองเบื้องต้น เพียงแค่พักผ่อนทำร่างกายให้อบอุ่น ดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่ปรุงสุก ร่างกายของเราก็จะสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อสู้กับเชื่อไวรัสเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ