“PM2.5 ทำพิษ! อากาศที่คุณหายใจทุกวัน อาจกำลังทำไซนัสอักเสบแบบเงียบๆ”
PM2.5 ละอองจิ๋วที่กระตุ้นอาการคัดจมูกเรื้อรัง และเสี่ยงไซนัสอักเสบ ดูวิธีป้องกันและแนวทางรักษา

โรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคถุงลมโป่งพอง เป็นกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่มักเกิดจากเยื่อบุทางเดินหายใจมีความไวผิดปกติ ทำให้เกิดอาการ เช่น ไอ หอบเหนื่อย มีน้ำมูก เสมหะเยอะ หายใจขัด แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด หายใจลำบาก หรือหายใจเร็ว โดยเฉพาะตอนกลางคืน ตอนเช้ามืด ขณะออกกำลังกาย หรือขณะเป็นไข้หวัด
การรักษาส่วนใหญ่ จะให้ยารับประทานควบคู่กับการปฏิบัติตัวเพื่อลดการกำเริบของโรค แต่ก็ยังมีการใช้ยาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่แพทย์มักพิจารณาใช้ควบคู่กับยารับประทาน นั่นก็คือกลุ่มยาสูดพ่นในทางเดินหายใจ เพื่อช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้น
สำหรับยาสูดพ่นในทางเดินหายใจ มักอยู่ในรูปของผงละเอียดเล็ก หรือละอองยาขนาดเล็กมาก โดยมีอุปกรณ์พ่นยา ทำหน้าที่เป็นภาชนะบรรจุและนำส่งยาออกไป ข้อดีของการใช้อุปกรณ์พ่นยาในทางเดินหายใจคือ สามารถนำส่งยาขนาดเล็กไปยังส่วนลึกของปอดและถุงลมได้โดยตรง อีกทั้งผลข้างเคียงต่อร่างกายน้อยกว่า เมื่อเทียบกับยารับประทาน
แต่ทั้งนี้ ก็มีข้อควรพิจารณาก่อนสั่งยา โดยแพทย์จะต้องประเมินก่อนว่า ผู้ป่วยสามารถใช้อุปกรณ์พ่นยาได้หรือไม่ เช่น ในผู้สูงอายุจะต้องประเมินแรงในการสูดหายใจทางปาก แรงในการกดอุปกรณ์พ่นยา และความสัมพันธ์ของการกดอุปกรณ์พ่นยาและการสูดยา ในผู้ป่วยเด็กอาจต้องมีอุปกรณ์เสริมเพื่อให้เด็กใช้ยาง่ายขึ้น
ดังนั้น การใช้เครื่องพ่นยา จะมีประโยชน์ต่อการรักษา เมื่อผู้ป่วยสามารถใช้อุปกรณ์ได้อย่างถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ใช้ยาพ่นยาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อุปกรณ์พ่นยาของตัวยาแต่ละชนิด อาจมีความแตกต่างกันตามแต่ที่บริษัทผู้ผลิตได้ทำการคิดค้นมา แต่เราสามารถจัดกลุ่มอุปกรณ์พ่นยาแบ่งตามรูปแบบของยาที่บรรจุอยู่ภายในและลักษณะของยาที่ถูกนำส่งออกมาจากอุปกรณ์ได้ดังนี้
(ขั้นตอนการเตรียมอุปกรณ์พ่นยาอาจแตกต่างกันเล็กน้อย)
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรใช้ยาภายใต้คำสั่งของแพทย์ และปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาเภสัชกรทุกครั้ง ไม่ควรซื้อยารักษาเอง เพราะยาพ่นบางชนิดอาจมีส่วนผสมของของสเตียรอยด์ ทั้งยังมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกให้ยาแก่ผู้ป่วยอีกหลายประการ เช่น โรคประจำตัว อายุของผู้ป่วย ประวัติแพ้ยาบางชนิด ฉะนั้นแล้ว การใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง จึงจะปลอดภัยกับตัวผู้ป่วยอย่างสูงสุด