บทความสุขภาพ

มะเร็งปากมดลูก “ป้องกันดีกว่ารักษา”

Share:

ตรวจก่อน รู้ทัน มะเร็งปากมดลูก ป้องกันไว้ดีกว่ารักษา

ในประเทศไทย ตรวจพบมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิงมากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม มีผู้ป่วยรายใหม่ ราว 10,000 ราย/ปี และมีผู้เสียชีวิตจากโรค 52% หรือวันละ 14 ราย จึงนับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ

สาเหตุของ มะเร็งปากมดลูก

การศึกษาทางการแพทย์พบว่า สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก 90% คือการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ชนิดก่อมะเร็ง (Oncogenic HPV) หรือชนิดความเสี่ยงสูง (High-Risk) ซึ่งการติดเชื้อไวรัส HPV ส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการติดเชื้อดังกล่าวแบบคงอยู่นาน (Persistent Infection) กลายเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งปากมดลูก

เชื้อ HPV มีระยะฟักตัวตั้งแต่ 6 สัปดาห์ถึง 8 เดือน โดยทั่วไปการติดเชื้อไวรัส HPV มักอยู่ไม่นาน (Transient Infection) และส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 12 เดือน ส่วนการติดเชื้อไวรัส HPV แบบคงอยู่นาน (Persistent Infection) จะทำให้เซลล์เยื่อบุปากมดลูกมีโอกาสกลายรูปผิดปกติได้ โดยระยะเวลาเฉลี่ยจากการติดเชื้อ HPV จนกลายเป็นมะเร็งจะใช้เวลาประมาณ 10-15 ปี

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงทางนรีเวช : มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย มีเพศสัมพันธ์กับชายหลายคน มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เคยตั้งครรภ์หรือมีลูกหลายคน เคยรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน และไม่ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

ปัจจัยเสี่ยงจากฝ่ายชาย : สามีเป็นมะเร็งองคชาต สามีเคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก่อน สามีมีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สามีมีคู่นอนหลายคน

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ : การสูบบุหรี่ ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เศรษฐานะต่ำหรือเข้าถึงบริการทางการแพทย์ไม่ทั่วถึง และขาดสารอาหารบางชนิด

การป้องกันและลดความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้ เนื่องจากระยะเวลาตั้งแต่การติดเชื้อไวรัส HPV แบบคงอยู่นาน กระทั่งส่งผลให้เซลล์เยื่อบุปากมดลูกกลายเป็นมะเร็ง ใช้เวลาประมาณ 10-15 ปี ทำให้มีโอกาสตรวจพบระยะก่อนมะเร็ง (Precancerous Lesion) และสามารถรักษาก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งได้ทันท่วงที โดยสามารถแบ่งเป็นระดับได้ดังนี้

ระดับที่ 1 Primary Prevention

ป้องกันสาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก หรือป้องกันไม่ให้ปากมดลูกติดเชื้อ HPV ได้แก่ ใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ มีคู่นอนคนเดียว และการฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก

ระดับที่ 2 Secondary Prevention

การตรวจหาและรักษาความผิดปกติในระยะก่อนมะเร็ง (Precancerous) ได้แก่ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear) และการตรวจหาเชื้อ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็ง (HPV DNA Testing)

ระดับที่ 3 Tertiary Prevention

การรักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกเพื่อให้หายจากโรค และรักษาแบบประคับประคอง เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี

อาการของ มะเร็งปากมดลูก

อาการของผู้ป่วยจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยอาการที่อาจพบได้ในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ เลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ ตกขาวผิดปกติ ตกขาวปนเลือด และหากมะเร็งลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ขาบวม ต่อมน้ำเหลืองโต ไตวาย ปัสสาวะหรือ อุจจาระเป็นเลือด

วิธีการรักษามะเร็งปากมดลูก 

  • การผ่าตัด (Surgical Treatment) ส่วนใหญ่ใช้กับผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 1 และระยะที่ 2 บางราย
  • รังสีรักษา (Radiation Therapy) รักษาได้กับทุกระยะของมะเร็งปากมดลูก
  • เคมีบำบัด (Chemotherapy) รักษามะเร็งในระยะลุกลามมาก หรือมีการกลับเป็นซ้ำ
  • การรักษาร่วม (Combined Treatment) เช่น การให้ยาเคมีบำบัดพร้อมกับรังสีรักษา ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในการรักษามะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม การ

รักษาด้วยเคมีบำบัดก่อนการรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน การให้รังสีรักษาหลังการผ่าตัด และการให้ยาเคมีบำบัดก่อนหรือหลังรังสีรักษา เป็นต้น

มะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้โดยการตรวจคัดกรอง (Pap Smear) และการตรวจหาเชื้อ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็ง เนื่องจากระยะเวลาตั้งแต่การติดเชื้อไวรัส HPV แบบคงอยู่นาน

กระทั่งส่งผลให้เซลล์เยื่อบุปากมดลูกกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้น ใช้เวลาประมาณ 10-15 ปี ทำให้มีโอกาสตรวจพบระยะก่อนมะเร็ง (Precancerous Lesion) และสามารถรักษาก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งได้ทันท่วงที ฉะนั้นการป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพและได้ผลดีที่สุด คือการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

  • Readers Rating
  • Rated 4.1 stars
    4.1 / 5 (11 )
  • Your Rating