บทความสุขภาพ

โรคกระดูกพรุน

Share:

ปัจจุบันมีการตื่นตัวเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุนเป็นอย่างมาก ทั้งในประเทศไทย และทั่วโลกองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้กำหนดความสำคัญของโรคกระดูกพรุนไว้เป็นอันดับ 2 รองจากโรคหัวใจและหลอดเลือด

โรคกระดูกพรุนคืออะไร

โดยปกติ กระดูกของคนเราเป็นอวัยวะที่มีชีวิต กระดูกมีเซลล์หลักอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นเซลกระดูกที่มีหน้าที่สลายกระดูกเรียกว่า Osteoclast เซลล์อีกชนิดหนึ่งมีหน้าที่สร้างกระดูกใหม่เรียกว่า Osteoblast เซลล์ทั้ง 2 ชนิดนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย

ช่วงเวลาของการสร้างและสลายกระดูกสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ช่วงดังนี้

1. ช่วงของการสร้างมวลกระดูก เริ่มต้นเมื่อแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 30 ปี ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการสร้างมวลกระดูกมากกว่าการสลายมวลกระดูก มวลกระดูกของร่างกายจึงเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุดที่เรียกว่า Peak Bone Mass
2. ช่วงของการคงมวลกระดูก หลังจากอายุ 30 ปีไปแล้วการสร้างกระดูกจะลดลงจนเท่ากับการสลายกระดูก มวลกระดูกรวมจึงคงที่ ไปจนถึงอายุประมาณ 45 ปี
3. ช่วงการสลายมวลกระดูก จากอายุ 45 ปีขึ้นไป การสร้างมวลกระดูกจะลดลงเรื่อยๆ มวลกระดูกรวมของร่างกายจึงลดลงตามลำดับ สตรีในช่วงหมดประจำเดือน การสลายมวลกระดูกจะรวดเร็วมากทำให้มวลกระดูกลดลงอย่างรวดเร็ว
โรคกระดูกพรุน คือ โรคที่ผู้ป่วยมีมวลกระดูกต่ำกว่าปกติ และมีแนวโน้มจะต่ำลงเรื่อยๆ จนเป็นสาเหตุให้เกิดกระดูกหักจากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย และมีโอกาสที่กระดูกที่หักจะไม่ติดกัน

อันตรายของโรคกระดูกพรุน

แม้ว่าโรคกระดูกพรุนจะไม่ได้ทำให้เสียชีวิตโดยตรง แต่โรคกระดูกพรุนเป็นจุดเริ่มต้นของโรคต่างๆ มากมาย จากการเคลื่อนไหวร่างกายที่ทำได้ไม่เต็มที่อันเนื่องมาจากอาการปวด หรือภาวะกระดูกหัก

การพักรักษาตัวเป็นเวลานาน ย่อมทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นได้ เช่น ภาวะถุงลมโป่งพอง ภาวะการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือด อันเป็นสาเหตุให้สุขภาพโดยรวมเลวลงอย่างรวดเร็วจนอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

เมื่อผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนได้รับอุบัติเหตุทำให้เกิดภาวะกระดูกหักขึ้น กระดูกนั้นจะใช้เวลาในการเชื่อมต่อตัวเองนานกว่ากระดูกปกติ หรืออาจไม่ติดเลยก็ได้ ผู้ป่วยจะต้องอยู่ในเฝือกนานขึ้นเป็นสาเหตุให้เกิดอาการข้อยึดติด ไม่สามารถใช้ร่างกายส่วนนั้นได้เป็นระยะเวลานาน หรืออาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดยึดกระดูกซึ่งผลการรักษามักไม่ได้ผลดี

อาการของโรคกระดูกพรุน

ปวดหลัง เป็นอาการหนึ่งที่พบได้ในผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคกระดูกพรุน ในผู้ป่วยที่อายุยังน้อย โรคกระดูกพรุนมักจะไม่มีอาการใดๆ

การตรวจหาโรคกระดูกพรุน

การตรวจหาโรคกระดูกพรุนด้วยเครื่องตรวจมวลกระดูก (Bone Densitometer) เป็นวิธีที่จะทราบถึงสภาวะมวลกระดูกของเราได้ดีที่สุด การตรวจหามวลกระดูกจะแปรผลออกมาเป็นค่าทางสถิติ โดยใช้การเปรียบเทียบมวลกระดูกของเรากับมวลกระดูกของประชากรในอายุและเพศเดียวกัน

การแปรผลการตรวจมวลกระดูกจะแปรผลออกมา คือ
– มวลกระดูกปกติ (Normal) หมายถึง มีมวลกระดูกหนาแน่นเป็นปกติในอายุยังน้อย
– มวลกระดูกบาง (Osteopenia) หมายถึง มีมวลกระดูกน้อยกว่าปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นโรคกระดูกพรุน เป็นภาวะที่ต้องรับการรักษาก่อนที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน
– กระดูกพรุน (Osteoporosis) หมายถึง มีมวลกระดูกน้อยกว่าปกติมากจนเสี่ยงต่อกระดูกหักหรือกระดูกยุบตัว

การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน

เมื่อผลตรวจมวลกระดูกพบว่ากระดูกปกติ สิ่งที่ควรปฏิบัติเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคกระดูกพรุนคือ
1. ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศและวัยเป็นประจำ
2. รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม
3. ตรวจมวลกระดูกประจำทุกปี
4. ตรวจสุขภาพประจำปี ดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดีอยู่ตลอดเวลา

การรักษาโรคกระดูกพรุน

ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาโรคกระดูกพรุนคือ
1. ผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
2. ผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกบาง (Osteopenia)
3. ผู้ป่วยที่มีมวลกระดูกปกติ แต่ลดลงจากปีที่แล้วมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป

ยารักษาโรคกระดูกพรุนมีหลายกลุ่ม ประกอบด้วย

1. ยาออกฤทธิ์ยับยั้งการสลายกระดูก ได้แก่ Estrogen, Calcitonin, Biphosphonate
2. ยาออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างกระดูก ได้แก่ Vitamin D, Fluoride
3. ฮอร์โมนออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างกระดูก ได้แก่ Parathyroid Hormone และ Anabolic steroids
4. ยาออกฤทธิ์ประเภทอื่นๆ ได้แก่ Ipriflavone, Tibolone และ Vitamin D metabolites

การรักษาโรคกระดูกพรุนด้วยยาต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคกระดูกบางและโรคกระดูกพรุน นอกจากจะทำให้ผู้ป่วยหายทรมานจากอาการปวดหลังเรื้อรังแล้ว ยังลดโอกาสที่ผู้ป่วยมีเกิดภาวะกระดูกหักจากอุบัติเหตุได้อีกด้วย